บทความให้กำลังใจ(ผู้นำกลางทะเลทราย)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,030
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,068
    ชีวิตและความตายในมิติวัฒนธรรม
    พระไพศาล วิสาโล
    ชีวิตและความตายนั้นมองได้หลายแง่มุม มองในมุมวิทยาศาสตร์ ชีวิตคือกระบวนการทางชีวเคมีอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถตรวจวัดหรือแปรเป็นปริมาณตัวเลขได้ หากกระบวนทางชีวเคมีดังกล่าวสิ้นสุดหรือแปรสภาพไป ก็เรียกว่าตาย อย่างไรก็ตามหากมองในมุมวัฒนธรรมแล้ว ชีวิตและความตายมีความหมายมากกว่านั้น แม้ทุกคนมีชีวิตเหมือนกันและต้องตายเหมือนกัน แต่วิถีการดำเนินชีวิตของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน สุดแท้แต่ทัศนคติเกี่ยวกับชีวิต แต่ละคนมีความรู้สึกสุขหรือทุกข์แตกต่างกัน รวมทั้งให้คุณค่าและความหมายของชีวิตของตนแตกต่างกัน สุดท้ายเมื่อความตายมาถึง ก็มีความรู้สึกหรือตอบสนองต่อความตายแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่ามีทัศนคติต่อความตายอย่างไร

    ชีวิตกำหนดความตาย
    คนสมัยก่อนนั้นส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า ชีวิตเป็นกระบวนการที่มีความสืบเนื่องยาวไกล ไม่ได้เริ่มต้นเมื่อเกิดจากท้องแม่ และไม่ได้จบลงเมื่อสิ้นลม สำหรับชาวพุทธ ความตายคือจุดเริ่มต้นของการเกิดใหม่ เพราะมนุษย์ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารตราบใดที่ยังมีกิเลสหรือกรรม ต่อเมื่อสิ้นกิเลส ดับกรรมหรืออยู่เหนือกรรมได้ กระบวนการดังกล่าวจึงสิ้นสุด ไม่มีการเกิดอีกต่อไป ดังนั้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงต้องหมั่นสร้างบุญกุศล มิใช่เพื่อความผาสุกในชาตินี้เท่านั้น แต่ยังเพื่อความสุขในภพหน้าด้วย ลาภยศมิใช่เรื่องสำคัญที่สุด เพราะเป็นของชั่วคราว ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ บุญกุศลต่างหากที่สำคัญกว่า

    คติความเชื่อดังกล่าวทำให้ผู้คนมีแนวโน้มยอมรับความตายได้มาก โดยเฉพาะผู้ที่ทำความดีสร้างบุญกุศลไว้มาก เพราะมั่นใจว่าจะได้สุคติ คนอีสานสมัยก่อนเชื่อว่าเมื่อสิ้นลมก็จะได้ไปกราบพระเกศแก้วจุฬามณีในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ยิ่งมีการทำความดีในขณะที่ป่วยหนัก และมีการน้อมใจให้นึกถึงบุญกุศลที่ได้ทำไว้ ก็ยิ่งช่วยให้มีความมั่นใจในภพหน้ามากขึ้น จึงไม่ปฏิเสธผลักไสความตาย สามารถตายได้อย่างสงบ

    ในวัฒนธรรมที่ได้รับอิทธิพลทางศาสนา ผู้คนมักได้รับการย้ำเตือนว่า ชีวิตนั้นไม่จิรังยั่งยืน ความตายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ยิ่งได้เห็นคนตายเป็นระยะ ๆ ดังวิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อนที่ผู้คนมักตายที่บ้านและตั้งศพที่บ้าน ก็ย่อมตระหนักว่าความตายเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่มีใครหนีพ้นความตายได้ ทัศนะดังกล่าวช่วยให้ไม่ประมาทต่อชีวิต และยอมรับความตายได้มากขึ้น เมื่อความตายมาถึงตนในที่สุด ก็ไม่ขัดขืนต่อสู้ พร้อมจะทำใจกับทุกอย่างที่จะตามมา

    อย่างไรก็ตามคำสอนที่แตกต่างกันระหว่างศาสนา ก็ส่งผลให้วัฒนธรรมเกี่ยวกับความตายมีความแตกต่างกันตามไปด้วย จะว่าไปแล้ว วัฒนธรรมหรืออารยธรรมต่างๆ ในโลกนี้ล้วนเป็นภาพสะท้อนทัศนะเรื่องความตายที่แตกต่างกัน อาทิ อารยธรรมอียิปต์กับการสร้างพีระมิด อารยธรรมเขมรกับการสร้างนครวัด อารยธรรมธิเบตกับการหั่นศพและทิ้งให้แร้งกิน สองอารยธรรมแรกมีความเชื่อว่าตัวตนนั้นยั่งยืน เป็นอมตะ ขณะเดียวกันก็มีความปรารถนาอยากให้ผู้ที่ตายไปแล้วโดยเฉพาะพระราชากลับมาเกิดใหม่ จึงสร้างสถานที่เอาไว้รองรับผู้ที่จะมาเกิดใหม่ มีการระดมผู้คนจำนวนมหาศาลมาก่อสร้างสุสานอย่างใหญ่โต สิ้นเปลืองทรัพยากรมากมาย

    ตรงกันข้ามกับอารยธรรมธิเบตซึ่งเห็นว่าคนเรานั้นมาจากธรรมชาติ เมื่อตายไปก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ กลายเป็นอาหารของสรรพสัตว์ ชื่อเสียงเกียรติยศหรือยศศักดิ์อัครฐานไม่ว่าจะสะสมไว้มากเพียงใด ตายไปก็เป็นอันยุติ ไม่มีความหมายอีกต่อไป จึงไม่มีความจำเป็นต้องสร้างเทวสถานหรือสุสานรอคอยการกลับมาของคนที่ตายไป

    ส่วนอารยธรรมปัจจุบันเห็นว่าโลกหน้านั้นไม่มีหรือไม่สำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่โลกนี้ ชีวิตนี้ ดังนั้นการสร้างสุสานอย่างใหญ่โตเพื่อรองรับชีวิตหน้าของคนตาย จึงไม่ค่อยมี มีแต่การสร้างอนุสาวรีย์เพื่อประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ เช่น เพื่อสร้างความรักชาติ กระตุ้นให้คนเสียสละ หรือเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศของวงศ์ตระกูลหรือของลูกหลาน (ซึ่งเป็นผู้สร้างอนุสาวรีย์ ) นอกจากนั้นความที่อารยธรรมสมัยใหม่เชื่อมั่นในโลกนี้มากกว่าโลกหน้า จึงมุ่งแสวงหาและตักตวงวัตถุมาปรนเปรออย่างไม่หยุดหย่อนมากกว่าที่จะสร้างบุญกุศลสำหรับโลกหน้า

    ชีวิตและความตายในวัฒนธรรมสมัยใหม่

    การที่อารยธรรมปัจจุบันมีมุมมองเช่นนั้น สาเหตุสำคัญก็เพราะศาสนามีบทบาทน้อยลง แต่ได้รับอิทธิพลจากวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มากขึ้น วิทยาศาสตร์นั้นไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า จึงเห็นว่าชีวิตนั้นเริ่มต้นเมื่อปฏิสนธิและจบลงเมื่อตาย ไม่มีอะไรหลังจากนั้น วิทยาศาสตร์ได้ทำให้ทัศนคติเกี่ยวกับความตายเปลี่ยนไปอย่างมาก กล่าวคือ เมื่อมองว่าความตายเป็นจุดสุดท้ายของชีวิต ความตายจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว ที่ต้องหลีกเลี่ยงหรือหน่วงเหนี่ยวผลักไสไปให้ไกลที่สุด
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,030
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,068
    (ต่อ)
    ผลที่ตามมาประการแรกก็คือ การมีชีวิตเหมือนคนลืมตาย ความกลัวตายทำให้ผู้คนพยายาม ปิดหูปิดตาไม่รับรู้เรื่องความตาย ไม่อยากนึกถึงความตาย ไม่อยากให้ใครมาพูดเรื่องความตายให้ได้ยิน พยายามผลักความตายออกไปจากจิตสำนึก วิธีหนึ่งที่ใช้กันมากก็คือ ทำตัวให้วุ่น ทำใจไม่ให้ว่าง ด้วยการหมกมุ่นอยู่กับความสนุกสนาน ความบันเทิงเริงรมย์ทางเพศ การแสวงหาเงินทองชื่อเสียงและอำนาจ ทั้งนี้เพื่อให้ตนหลงลืมเรื่องความตาย เป็นการเบนความสนใจออกไปจากสิ่งที่ตนหวาดกลัว พฤติกรรมดังกล่าวทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยหลงลืมไปเลยว่าสักวันหนึ่งตนจะต้องตาย ซึ่งเท่ากับหนุนส่งให้มัวเมากับความสนุกสนานหนักขึ้น รวมทั้งแสวงหาเงินทอง ชื่อเสียง อำนาจและความสำเร็จทางโลกอย่างไม่หยุดยั้ง โดยไม่เฉลียวใจเลยว่า สิ่งเหล่านั้นจะช่วยเขาได้ไหมเมื่อความตายมาถึง และเขาจะเอาสิ่งเหล่านั้นไปได้ไหมเมื่อสิ้นลม

    ความกลัวตายยังส่งผลต่อแบบแผนการรักษาพยาบาล กล่าวคือ ผู้คนพยายามหนีความตายให้ไกลที่สุด และหากหนีไม่ได้ ก็ขอประวิงเวลาให้ตายช้าที่สุด แม้ป่วยหนักจนสุดเยียวยา ก็พยายามยื้อชีวิตให้นานที่สุด โดยสนใจแต่เพียงสัญญาณชีพเป็นสำคัญ แม้คุณภาพชีวิตจะถดถอย หรือสร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วยมากมายก็ตาม ผลก็คือผู้ป่วยไม่สามารถตายอย่างสงบ หรือไม่สามารถทำใจให้สงบได้ เพราะเกิดความเจ็บปวดมากจากการรักษาแบบก้าวร้าวรุนแรงแบบนั้น

    เป็นเพราะเรามีทัศนคติว่าความตายเป็นสิ่งน่ากลัวที่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงให้ได้ไกลที่สุด เราจึงมักใช้ช่วงเวลาท้ายๆ ของชีวิตอยู่ในโรงพยาบาล ฝากทุกอย่างไว้กับหมอ โดยไม่คิดว่าในช่วงสำคัญของชีวิตเช่นนี้ สิ่งสำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่การยืดลมหายให้ได้นานที่สุด หากอยู่ที่การเตรียมใจให้สามารถเผชิญกับความตายได้อย่างสงบสันติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ เพราะไม่เคยเตรียมตัวไว้ก่อนเลยในยามที่ยังปกติสุขอยู่ หรือถึงนึกได้ก็สายไปเสียแล้ว เพราะไม่มีใครที่จะช่วยเขาได้ในเรื่องนี้นอกจากตัวเอง

    วิทยาศาสตร์ยังส่งผลให้ความเจ็บป่วยและความตายซึ่งเป็นปรากฏการณ์หลากมิติ ถูกลดทอนให้เหลือแค่มิติทางกายภาพล้วน ดังนั้นการรักษาหรือการหน่วงเหนี่ยวความตายจึงเน้นแต่การจัดการกับอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ความตายถูกนิยามด้วยอาการทางกายภาพล้วนๆ (เช่นสมองไม่ทำงาน) ขณะเดียวกันในการช่วยผู้ป่วยไม่ให้ตาย แพทย์จะสนใจแต่กระบวนการทางกายภาพของผู้ป่วย มุ่งใช้ยาและเทคโนโลยีเข้ามาจัดการกับอวัยวะนานาชนิดเพื่อยับยั้งความตาย (ตามนิยามดังกล่าว) โดยไม่สนใจการให้ความช่วยเหลือทางจิตใจแก่ผู้ป่วย

    สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย ทั้งนี้เพราะการพยายามยืดลมหายใจของผู้ป่วยให้ได้นานที่สุด มักอาศัยวิธีที่ก้าวร้าวรุนแรงเช่น เจาะคอ ผ่าท้องใส่ท่อให้อาหาร ล้วนแต่ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง แม้กระทั่งในวาระสุดท้ายของชีวิตก็ไม่มีโอกาสอยู่อย่างสงบท่ามกลางลูกหลานญาติมิตร นอกจากนั้นวิธีการยืดลมหายใจดังกล่าวมักเกิดขึ้นโดยที่ผู้ป่วยไม่มีสิทธิตัดสินใจหรือสามารถคัดค้านได้ ทำให้ผู้ป่วยถูกลดสภาพความเป็นคน กลายเป็นแค่วัตถุรองรับการกระทำของแพทย์และเทคโนโลยี

    อลิซาเบธ คูบเลอร์ รอสส์ กล่าวถึงเรื่องนี้ชัดเจนเมื่อพรรณนาถึงการรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลสมัยใหม่ว่า "ผู้ป่วยอาจจะร้องขอพักผ่อนครวญหาความสงบ เรียกร้องขอสิทธิและศักดิ์ศรีของตนกลับคืน สิ่งที่เขาจะได้รับหาใช่สิ่งที่เขาเรียกร้องไม่ แต่กลับเป็นน้ำยาที่ฉีดเข้าตัวและน้ำเกลือที่ฉีดเข้าเส้น เครื่องนวดหัวใจ หรือไม่ก็การเจาะคอ เมื่อจำเป็น" และอีกตอนหนึ่งว่า "เขาเองกำลังถูกดูแลรักษาเหมือนกับตนเองเป็นวัตถุอะไรสักอย่างเขาไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว ใครต่อใครตัดสินใจให้เขาทั้งๆ ที่เขาก็ยังมีความสามารถที่จะคิดตัดสินใจด้วยตนเองได้ แต่ถ้าเขาคัดค้าน เขานั่นแหละก็จะถูกบังคับให้กินยา ฉีดยา เพื่อให้หลับต่อไป" กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้ป่วยถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมมากขึ้นทุกที

    ช่วงสุดท้ายของผู้ป่วยในโรงพยาบาลมักเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย เนื่องจากแพทย์และพยาบาลพยายามช่วยชีวิตให้ยืนนานต่อไป ผู้ป่วยไม่ได้รับโอกาสหรือการช่วยเหลือให้เกิดความสงบในจิตใจ หรือเพื่อให้เข้าถึงภาวะอันลุ่มลึกในทางจิตวิญญาณ (เช่นการทำจิตให้ปล่อยวางชนิด "ดับไม่เหลือ" หรือผสานรวมกับสิ่งสูงสุดที่นับถือ) ซึ่งนอกจากจะช่วยบรรเทาความวิตกกังวลตื่นตระหนกยามใกล้ตายแล้ว ยังช่วยให้สามารถจัดการกับความเจ็บปวดทางกายได้ดีกว่ายาและเทคโนโลยีต่างๆ ของแพทย์ด้วย ยิ่งกว่านั้นการมีโอกาสเตรียมจิตใจดังกล่าวยังอาจมีผลต่อสภาวะหลังการตายด้วย ไม่ว่าจะสภาวะของผู้ป่วยเอง หรือของญาติมิตรผู้ป่วย

    ชีวิตและความตายในวัฒนธรรมพุทธ

    พุทธศาสนามองว่าชีวิตกับความตายไม่ได้แยกจากกัน ความตายไม่เพียงเป็นเรื่องใกล้ตัวอย่างยิ่ง เพราะเรามีโอกาสตายทุกวินาทีเท่านั้น แท้จริงความตายเกิดขึ้นกับเราทุกขณะ เซลล์ต่างๆ ในร่างกายตายตลอดเวลา แต่ก็มีเซลล์ใหม่มาแทนที่ จึงดูเหมือนว่าร่างกายของเรานั้นคงที่ แท้จริงแล้วร่างกายของเราขณะนี้กับเมื่อสิบปีก่อน เป็นคนละร่างก็ว่าได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งร่างของเราเมื่อสิบปีก่อนได้ตายไปแล้ว และมีร่างใหม่มาแทนที่ จิตของเราก็เช่นกัน มีการเกิดดับตลอดเวลา แต่มีความสืบเนื่องกัน จึงดูเหมือนว่าเป็นจิตที่คงที่คงตัว แต่ที่จริงหาใช่ไม่

    ในวัฒนธรรมแบบพุทธ ความตายถูกมองว่าไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะมันอยู่กับเราตลอดเวลา และไม่ช้าก็เร็วความแตกดับทั้งทางกายและใจอย่างสิ้นเชิง คงเหลือแต่ร่างที่ไว้วิญญาณ ก็จะต้องเกิดขึ้นกับเรา แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เราควรใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ใช้ทุกนาทีให้เกิดประโยชน์ ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ซึ่งมิได้วัดกันที่ความพรั่งพร้อมทางวัตถุ แต่อยู่ที่ความสงบเย็นทางจิตใจ ไม่ถูกบีบคั้นด้วยความทุกข์และความผันผวนปรวนแปรต่าง ๆ อันเป็นธรรมดาของโลก

    ขณะเดียวกันเมื่อรู้ว่าสักวันหนึ่งเราต้องตาย นอกจากจะต้องเร่งทำความดีโดยไม่ประมาทในชีวิตแล้ว ก็ควรเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับความตายด้วย วิธีหนึ่งได้แก่ การพิจารณาความตายสม่ำเสมอที่เรียกว่า มรณสติ กล่าวคือระลึกเสมอว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องเกิดขึ้นกับเราไม่ช้าก็เร็ว การทำเช่นนี้สม่ำเสมอ ช่วยให้เราไม่ลืมตาย ไม่อยู่อย่างประมาท และพร้อมที่จะเผชิญกับความตายอยู่เสมอ

    วัฒนธรรมแบบพุทธยังมองอีกว่า ความตายไม่ใช่สิ่งที่ทุกข์ทรมานเสมอไป ความทุกข์จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับท่าทีหรือจิตใจของเรามากกว่า ว่าจะเผชิญกับความตายอย่างไร เราสามารถทำให้การตายที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการ “ตายดี”ได้ ซึ่งไม่ได้หมายถึง การหลับตายหรือตายโดยไม่เจ็บปวด ไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่หมายถึงการตายในภาวะจิตที่สงบ เป็นกุศล หรือเห็นแจ้งในธรรม กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณภาพของความตายไม่ได้อยู่ที่ว่าตายด้วยสาเหตุใด แต่อยู่ที่คุณภาพจิตใจของผู้ป่วยเป็นสำคัญ

    ความตายมิได้หมายถึงความแตกสลายทางกายเท่านั้น หากยังเป็นโอกาสในการเข้าถึงความลุ่มลึกทางจิตวิญญาณด้วย ดังท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวว่า ช่วงเวลาใกล้ตายนั้นเป็น “นาทีทองของชีวิต” ดังนั้นเราจึงควรใช้ประโยชน์จากความตายให้เกิดคุณค่าแก่ชีวิตโดยเฉพาะในทางจิตใจหรือจิตวิญญาณ

    ดังนั้นเมื่อป่วยหนักจนอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต นอกจากการดูแลทางกายแล้ว การดูแลทางจิตใจก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้เกี่ยวข้องควรทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้ป่วยมีจิตใจสงบ พร้อมรับความตาย หรือสามารถเผชิญกับความทุกข์จากความตายให้ได้มากที่สุด เช่น การสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับญาติมิตร ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยมีโอกาสเล่าความในใจที่คั่งค้าง รวมทั้งมีโอกาสปลดเปลื้องทั้งภาระ (ทางการงาน ครอบครัว และภาระทางใจ) ตลอดจนปลดเปลื้องความกังวลขุ่นเคืองใจที่มีอยู่

    ความเมตตาของญาติมิตร พร้อมที่จะเข้าใจและยอมรับเขาโดยไม่ตัดสิน ยังช่วยให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกโดดเดี่ยว และปล่อยวางความรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับตนเองได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นญาติมิตรยังควรช่วยน้อมนำจิตใจผู้ป่วยให้ระลึกถึงบุญกุศลและความดีงามที่ได้บำเพ็ญ ตลอดจนระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ รวมทั้งเปิดโอกาสให้เขาทำความดีหรือสร้างบุญกุศลเพิ่มเติม จะช่วยให้ผู้ป่วยมีความพร้อมในการรับมือกับความตายมากขึ้น และหากสามารถแนะนำให้ผู้ป่วยรู้จักวางใจเมื่อต้องเผชิญกับทุกขเวทนา เช่น ช่วยให้เขารู้จักทำสมาธิ เจริญสติ หรือมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ เขาก็จะสามารถรักษาใจให้เป็นปกติ และรับมือกับความตายได้ด้วยใจสงบ

    ความตายไม่ใช่เป็นแค่วิกฤตของชีวิตเท่านั้น หากยังเป็นโอกาสในทางจิตวิญญาณ พุทธศาสนาเชื่อว่าจิตที่สงบเป็นกุศล ไม่เพียงช่วยให้ตายอย่างไม่ทุกข์ทรมานแล้ว ยังสามารถนำพาผู้ตายไปสู่สุคติ เป็นการยกระดับจิตใจให้เข้าสู่ภพภูมิที่ดีกว่าเดิม ยิ่งผู้ใกล้ตายนั้นมีสติเต็มที่ เห็นโทษของความติดยึดในสังขารหรือความสำคัญมั่นหมายในตัวตน จนสามารถละวางได้อย่างสิ้นเชิง ก็จะเข้าถึงความวิมุติหลุดพ้นคือนิพพานได้ทันที ดังพระสาวกหลายท่านได้กระทำไว้เป็นแบบอย่าง นับเป็นตัวอย่างที่ชี้ว่าความตายสามารถเป็นปัจจัยให้เกิดพัฒนาการทางจิตวิญญาณอย่างถึงที่สุดได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงสมควรที่จะเตรียมตัวรับความตายแต่เนิ่นๆ ในขณะที่ยังมีเวลาอยู่ ทั้งนี้เพื่อใช้ความตายให้เป็นโอกาสในทางจิตวิญญาณ ไม่ปล่อยให้ความตายนำชีวิตไปสู่วิกฤตหรือความแตกดับเท่านั้น

    *ปรับปรุงจากบทความของผู้เขียนเรื่อง “ความตายในมิติทางสังคมและจิตวิญญาณ” และ “ความตาย:กระบวนทัศน์ที่แปรเปลี่ยน”

    นอกจากจะลดทอนความตายเหลือเพียงมิติกายภาพแล้ว ยังมีความพยายามที่จะลดทอนต่อไปให้ความตายกลายเป็นเรื่องของความผิดปกติของอวัยวะบางส่วนเท่านั้น (เชอร์วิน นูแลนด์ แพทย์ชาวอเมริกัน ผู้เขียน How We Die เล่าว่า ในชีวิตการเป็นแพทย์กว่า ๓๕ ปีของเขา เขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ระบุในมรณบัตรว่า ผู้ป่วยวัย ๘๐-๑๐๐ ปีของเขาตายเพราะ "ชราภาพ" ได้เลย หากจะต้องระบุว่า ตายด้วยโรคหรือความผิดปกติที่อวัยวะส่วนใด หากเขาเขียนว่าตายเพราะชราภาพ มรณบัตรนั้นก็จะถูกตีกลับมาด้วยเหตุผลว่า เขากำลังทำผิดกฎหมาย นูแลนด์สรุปว่า "ทุกหนแห่งในโลกนี้ การตายเพราะชราภาพเป็นสิ่งผิดกฎหมาย" การมองว่าความตายหมายถึงความผิดปกติของอวัยวะอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยไม่ยอมรับว่ามีความตายที่เกิดจากชราภาพหรือเพราะถึงอายุขัยแล้วนั้น เท่ากับบอกว่าความตายไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ความตายอย่างเป็นธรรมชาตินั้นไม่มี มีแต่ความตายเพราะเป็นโรค กล่าวอีกนัยหนึ่งความตายนั้นถือว่าเป็นโรค (disease) อย่างหนึ่ง

    :- https://www.visalo.org/article/kumue.html
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,030
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,068
    เปิดเล่ม ฉบับเตรียมอำลา
    พระไพศาล วิสาโล
    ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยกล่าวว่า ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่ “สงบเย็นและเป็นประโยชน์” สงบเย็นหมายถึงใจสงบเย็น เป็นประโยชน์หมายถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น สองอย่างนี้ควรไปด้วยกัน ขณะที่เราทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น เราก็ควรพบความสงบเย็นในจิตใจด้วย ความสงบเย็นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการดูแลจิตใจของตนเอง นั่นก็คือนอกจากการทำกิจเพื่อผู้อื่นแล้ว เราก็ต้องทำจิตเพื่อตัวเองด้วย

    ทำกิจกับทำจิตเป็นสิ่งที่ต้องทำคู่กัน การทำกิจคือการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น ส่วนการทำจิตคือการทำใจให้สงบเย็น หลายคนทำกิจแต่ลืมทำจิต แม้จะทำประโยชน์ให้ผู้อื่นมาก แต่ตัวเองกลับรุ่มร้อน ไม่มีความสงบเย็น เมื่อมีความรุ่มร้อนเกิดขึ้น การทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นก็จะค่อยๆ ลดลงไป พอถึงจุดหนึ่งก็เกิดโทษขึ้นมาด้วยซ้ำ

    หลายคนตั้งใจช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นจิตอาสา หรือเอ็นจีโอ พอทำไปนานๆ แทนที่จะเกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น เกิดโทษขึ้นมาแทนที่ เพราะไม่ได้รักษาจิตใจของตนให้สงบเย็น บางคนเป็นดูแลผู้ป่วย ทีแรกก็ดูแลด้วยความเอาใจใส่ ทำด้วยความรัก แต่พอต้องรับภาระดูแลนานเข้าก็เริ่มเครียด หงุดหงิด เวลาแนะนำคนป่วยแล้วเขาไม่ทำตาม คนดูแลก็ไม่พอใจ พอสะสมมากขึ้นถึงจุดหนึ่งก็สติแตก ต่อว่าด่าทอผู้ป่วย เกิดความทุกข์ใจทั้งสองฝ่าย

    มีคนจำนวนไม่น้อยที่ปรารถนาดีต่อสังคม เป็นห่วงบ้านเมือง ทำอะไรต่ออะไรมากมายเพื่อช่วยให้บ้านเมืองดีขึ้น ครั้นเจออุปสรรค พบเห็นเหตุการณ์ที่ไม่เป็นดั่งใจ ก็เป็นทุกข์ รู้สึกเครียด เกิดความโกรธ บางคนถึงกับท้อแท้ นั่นเป็นเพราะมัวทำกิจ แต่ลืมทำจิต อาทิ ลืมดูใจตนเอง การพยายามเปลี่ยนแปลงสังคม เกื้อกูลผู้อื่น แม้เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ควรละเลยการรักษาใจตนเองด้วย รวมถึงการวางใจให้ถูกต้อง เช่น ไม่จดจ่ออยู่กับผลลัพธ์ในอนาคต จนลืมใส่ใจกับสิ่งที่กำลังทำในปัจจุบัน

    สตินั้นช่วยรักษาใจได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้รู้เท่าทันอารมณ์ที่เศร้าหมองหรือร้อนแรง ไม่ปล่อยให้มันเข้ามาบีบคั้นหรือเผาลนจิตใจ อีกทั้งยังช่วยให้เราจดจ่ออยู่กับการงาน ไม่วอกแวก ช่วยให้ทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ จึงส่งเสริมทั้งการทำจิตและการทำกิจ

    บ้านเมืองยุคนี้ การทำกิจควบคู่กับการจิต เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก หาไม่ผู้คนก็จะจมอยู่กับความทุกข์ ท้อแท้ หรือระบายความโกรธแค้น เกลียดชัง เข้าใส่กัน กลายเป็นว่า แทนที่จะช่วยให้บ้านเมืองดีขึ้น กลับทำให้บ้านเมืองตกต่ำย่ำแย่กว่าเดิม

    พูดถึงเรื่องบ้านเมืองแล้ว ขอพูดเรื่องตัวเองบ้าง มีเรื่องแจ้งให้ทราบว่า ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของจดหมายข่าวพุทธิกา โดยฉบับหน้าจะเป็นฉบับสุดท้าย หลังจากนั้นเราจำเป็นต้องปิดตัวเอง ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังแจ้งให้ทราบในประกาศภายในเล่มแล้ว
    :- https://www.visalo.org/article/buddhika59.html
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,030
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,068
    ความหมายทางพุทธศาสนากับคุณค่าทางวิทยาศาสตร์
    พระไพศาล วิสาโล
    Update : ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับการนำศาสนาไปโยงกับคำว่าวิทยาศาสตร์ ที่ใช้ชักจูงคนรุ่นใหม่ให้มานับถือ ความหมายสมัยใหม่แสดงให้เห็นว่า ศาสนาพุทธมีความเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งดูเหมือนว่ามีความพยายามสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น

    พระไพศาล : อาตมาเห็นว่าการนำพุทธศาสนามาทำให้เป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้พุทธศาสนาถูกลดทอนด้อยค่าลง ตอนนี้อาตมากำลังค้นคว้าอยู่ กำลังสาวไปยังสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งเป็นนักคิดไทยรุ่นแรกที่พยายามทำให้ศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ เลิกเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ และสิ่งที่หายไปด้วยคือ โลกุตรธรรม คือเรื่องนิพพาน เรื่องการปฏิบัติธรรม ค่อยๆหายไปเรื่อยๆ เพราะการทำให้ศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุผล เป็นเรื่องที่ประจักษ์ได้ในชีวิตนี้ในโลกนี้ เรื่องชาติ เรื่องจิตวิญญาณก็หายไป เพราะวิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับเรื่องพวกนี้ ไปๆมาๆ พุทธศาสนาก็กลายเป็นเรื่องเกี่ยวกับทางโลกล้วนๆ คือ แค่ทำดีได้ดีทำดีแล้วจะไม่ยากจน มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ แต่มิติทางด้านการพัฒนาจิตให้เหนือดีเหนือชั่ว ให้พ้นทุกข์สิ้นเชิงหรือปล่อยวางนี่จะหายไป ถ้าทำให้ศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ พุทธศาสนาก็จะถูกตัดทอนสาระบางอย่างทิ้งไปเพื่อจะให้เป็นวิทยาศาสตร์ สาระที่ถูกตัดทอนนั้นเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ตอนนี้พุทธศาสนาก็เลยค่อนข้างจะตื้น เพราะถูกทำให้เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าต้องเอาวิทยาศาสตร์มาเป็นตัวเทียบเคียง มาเป็นกรอบเป็นเกณฑ์ถือว่าให้เราเป็นของเรา เรารักษาแก่นของเราเอาไว้ แล้วจะไปตรงกับวิทยาศาสตร์หรือไม่นั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง เหมือนกับสมัยหนึ่งเขาถามกันว่าพุทธศาสนาเป็นปรัชญาหรือเปล่า เถียงกันอยู่นั่นแหล่ะ คำตอบอยูที่ว่าแล้วแต่เราตีความนิยามของปรัชญาแค่ไหน ถ้าปรัชญาหมายถึงวิถีชีวิตด้วย พุทธศาสนาก็เป็นปรัชญา แต่ปรัชญามีความหมายเพียงแค่การขบคิด การเก็งคาดเดาด้วยสมองล้วนๆ พุทธศาสนาก็ไม่ใช่ปรัชญา ก็ปล่อยให้เขาถกเถียงกันไปเถอะ แต่ขอให้เรารักษาแก่นของเราอย่าให้คลาดเคลื่อน ถึงตรงนี้อาตมาคิดว่าศาสนาเป็นคนละอันกัน แต่มีบางอย่างร่วมกัน และมนุษย์เราคงจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ เราขาดวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับความหมายของชีวิต วิทยาศาสตร์ถือว่าตัวเองปลอดพ้นจากเรื่องคุณค่า มีความเป็นกลาง ใครจะเอาไปใช้อะไรก็ได้ ใครจะเอาควอนตัมฟิสิกส์ไปทำระเบิดปรมาณูก็ได้ ใครจะเอาไปเผยแพร่ศาสนาก็ได้ จุดยืนวิทยาศาสตร์คือเป็นกลาง จึงไม่ให้คำตอบแก่คน แต่ไม่ว่าคนจะเก่งทางวิทยาศาสตร์แค่ไหนก็ต้องการคำตอบว่าชีวิตนี้มีเพื่ออะไร เกิดมาเพื่ออะไร เราควรจะเลือกอะไรระหว่าง เงินทอง ชื่อเสียงหรือความสัมพันธ์ในครอบครัว วิทยาศาสตร์ให้คำตอบไม่ได้ แต่ศาสนาให้ได้ วิทยาศาสตร์ มนุษย์จึงต้องการทั้งสองอย่าง อย่าพยายามรวบหัวรวบหางให้ศาสนากับวิทยาศาสตร์เป็นอันเดียวกันเลยต่างคนต่างอยู่ก็ดีแล้ว เพียงแต่ว่า เราควรจะเรียนรู้และเคารพซึ่งกันและกัน ที่ผ่านมาศาสนาก็พยายามรวบไปครอบงำวิทยาศาสตร์ อย่างสมัยกาลิเลโอที่บอกพระเจ้าเป็นผู้สร้างชีวิตวิวัฒนาการไม่มี หลายโรงเรียนในอเมริกาก็ห้ามสอนทฤษฏีวิวัฒนาการของดาร์วิน สอนแต่ว่าพระเจ้าสร้างโลก บอกว่าโลกเกิดขึ้นมาเมื่อประมาณหกพันกว่าปีที่แล้ว เพราะศึกษาในไบเบิลว่าพระเจ้าสร้างก่อนคริสตกาลประมาณ ๔๐๐๐ ปี คือพยายามจะครอบงำวิทยาศาสตร์ในแง่ที่ว่าห้ามสอนวิทยาศาสตร์ในความหมายที่ขัดกับศาสนา จริงๆ ไม่ควรครอบงำซึ่งกันและกัน แต่ปัญหาตอนนี้อยู่ที่วิทยาศาสตร์มีอหังการ์มากและยังไม่หมด เช่น การแสดงออกในเรื่อง bioengineering เรื่อง genetic รวมทั้งพวก artificial intelligence เพราะมีสมอง แต่ไม่พัฒนาจิตก็จะนำไปสู่อหังการ์ได้ ต้องพัฒนาจิตด้วยจึงจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้ว่าสิ่งที่เราไม่รู้มีมากกว่าที่รู้

    Update : อหังการ์ของนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ ท่านคิดว่าสมควรหรือไม่

    พระไพศาล : อหังการ์ทำให้เราปฏิเสธ ใจแคบ ทำให้เราคิดว่าเราถูก และคนอื่นผิด ถ้าเราไม่มีอหังการ์ เราเปิดใจให้กว้าง อันนี้น่าจะเป็นทัศนคติของวิทยาศาสตร์มากกว่า วิทยาศาสตร์ก็คือการไม่เอาสมมติฐานเป็นสัจจะ สมมติฐานต้องผ่านการตรวจสอบ เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าเป็นความจริงจึงค่อยรับ นี่เป็นหลักของกระบวนการวิทยาศาสตร์ แต่คนจำนวนมากเอาสมมติฐานมาเป็นสัจจะเลย ก็เลยไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น

     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,030
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,068
    (ต่อ)
    Update : ในความคิดเห็นของท่าน การวิจัยอย่างเช่น การตัดต่อยีน โคลนนิ่งจะนับเป็นอหังการ์ที่นักวิทยาศาสตร์สมควรทำหรือไม่

    พระไพศาล : นักวิทยาศาสตร์ควรจะตระหนักถึงความรับผิดชอบของตัวเองที่มีต่อสังคมด้วย นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากปฏิเสธ ถือว่าตัวเองศึกษาไป แล้วที่เหลือก็เป็นเรื่องของรัฐบาล เป็นเรื่องของบริษัทที่จะเอาไปใช้ เขาเองทำหน้าที่ค้นคว้าอย่างเดียว นักวิทยาศาสตร์ตัดตอนความรับผิดชอบตรงนี้ ถือว่าตัวเองรับผิดชอบลุยทางเทคโนโลยีและความรู้อย่างเดียว แต่ลึกๆ แล้ววิทยาศาสตร์เกิดอหังการ์ในแง่ที่ตัวเองเป็นพระเจ้าขึ้นมา อาตมาคิดว่าตอนนี้วิทยาศาสตร์ก็คิดว่าตัวเองเป็นตรีมูรติ คือพระเจ้า ๓ องค์ เหมือนกัน สมัยก่อนตอนที่สร้างระเบิดปรมาณูได้ อันนั้นคือ พระนารายณ์คือผู้ปราบทำลาย ตอนนี้พระพรหมมาแล้วคือ genetic engineering สร้างโลก นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากคิดอย่างนั้นจริงๆ พระศิวะคือ artificial intelligence แม้ว่าระเบิดปรมาณูจะถูกต่อต้าน แต่ ๒ อย่างหลังก็ยังผงาดอยู่ อาตมาว่านักวิทยาศาสตร์ไม่ควรคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า เดี๋ยวนี้ปัญหาทางจริยธรรมเกิดขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโคลนนิ่ง ปัญหาคนไข้ปางตายแล้วเราจะปล่อยให้คนไข้ตายโดยการถอดสายออกไป ถูกไหม ผิดไหม หรือฉีดยาเพื่อให้เขาตายอย่างสงบ เรื่องสิทธิการตาย ปัญหาเหล่านี้คนต้องคิดให้เป็น ไม่ใช่ว่าจะรอคำตอบจากพระคัมภีร์ ซึ่งในพระคัมภีร์ไม่มี ตอนนี้ต้องเริ่มคิดได้แล้ว เพราะในอนาคตจะมีปัญหามาก เช่น ทำแท้งถูกหรือผิด การฆ่าคนเพื่อรักษาชาติถูกหรือผิด พวกนี้ต้องคิดให้เป็น อย่างที่ทมิฬสิงหลในศรีลังกาฆ่ากันตาย ฝ่ายสิงหลคือพุทธก็บอกว่า จำเป็นต้องฆ่าทมิฬเพื่อรักษาพระพุทธศาสนา โคลนนิ่งถูกหรือผิด เรื่องนี้รอใครมาบอกไม่ได้ ศาสนาคริสตมีโป๊ปเป็นคนบอก แต่ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าไม่ได้มอบหมายให้ใครเป็นศาสดา พระสังฆราชก็ไม่ใช่ศาสดา จึงเป็นเรื่องที่ต้องคิด และต้องคิดให้เป็น อย่างโคลนนิ่ง อาตมาคิดว่าไม่ได้ขัดกับหลักพุทธศาสนา แต่แรงจูงใจในการทำโคลนนิ่งคืออะไร เพื่อสนองความโลภหรือเปล่า หรือทำไปเพื่ออยากรู้ แล้วใครรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น พุทธศาสนายอมรับว่าโคลนนิ่งมีชีวิต แม้กระทั่งคอมพิวเตอร์ ถ้าทำจนกระทั่งมันมีชีวิต พุทธศาสนาก็ยอมรับว่านี่คือชีวิต และเผลอๆ มีวิญญาณด้วย เพราะพุทธศาสนาเห็นว่าถ้าเหตุปัจจัยทางวัตถุพร้อม วิญญาณธาตุก็มาจุติได้ คือพุทธศาสนาไม่มีแนวคิดเรื่องผู้สร้าง อย่างโคลนนิ่งขัดแนวคิดเรื่องพระผู้สร้าง คือจะถือว่าทุกอย่างมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่สร้างได้ มนุษย์จะทำตัวเป็นพระเจ้าโดยการทำโคลนนิ่งถูกไหม ซึ่งเขาถือว่าผิดหลักศาสนาเพราะขัดกับหลักพระผู้สร้าง แต่พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของเหตุและปัจจัย ถือว่าไม่มีผู้สร้างจักรวาล พุทธศาสนาถือว่ามนุษย์ไม่ใช่ผลผลิตของพระเจ้า มนุษย์ก็คือสัตว์ในความหมายกว้าง ไม่ใช่ animal แต่เป็น being ในความหมายที่ว่ามีชีวิต เทวดา ต้นไม้ก็เป็นสัตว์

    Update : ในเรื่องทางวิทยาศาสตร์ ที่มีการเพาะพันธุ์กบไร้หัว เพื่อที่ว่าในอนาคตอาจจะทำได้ถึงขั้นทำมนุษย์ไร้หัว เพื่อนำอวัยวะมาเป็นอะไหล่เปลี่ยนในมนุษย์ ถือว่าผิดหลักพุทธศาสนาหรือเปล่า

    พระไพศาล : ถ้าเขาเป็นมนุษย์เขาก็ควรจะมีสิทธิ์รับผิดชอบชีวิตเขา แม้ว่าจะเป็นมนุษย์ไร้หัวก็ตาม แล้วเราจะไปฆ่าเขาเอาหัวใจมาใช้ได้ไง มันผิดแล้ว และคำถามพื้นฐานก็คือว่าเรามีสิทธิ์อะไรที่จะสร้างให้เขาเป็นคนไม่มีหัว ไม่มีสิทธิ์ แม้ว่าเราจะคิดว่าเรามีสิทธิ์เพราะเราคือผู้สร้าง แต่ในพุทธศาสนาถือว่ามันเป็นชีวิตแล้ว แล้วเรามีเจตนาที่จะทำให้เขามีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ก็ไม่ถูกต้อง คือมีจิตเห็นแก่ตัวเหมือนกับพ่อแม่ต้องการมีลูกเพื่อเอาลูกไปขาย มันเป็นอกุศลจิตแล้ว เราถือว่าสิ่งเหล่านี้มีชีวิตแล้วทั้งนั้น แล้วพอเป็นชีวิตก็จะดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ถ้าเราไปพรากชีวิตทำให้เขาเกิดความทุกข์ขึ้นมา ตอนนี้เราก็ยังไม่แน่ใจนะว่า พวกนี้อาจจะมีความรับรู้ก็ได้ แต่ในทางพุทธศาสนาถือว่าพวกนี้มีชีวิต เราจะไปเบียดเบียนเขาไม่ได้ แต่ก็ยังน่าสงสัยว่า ในทางพุทธศาสนาถือว่าเมื่อเป็นตัวอ่อนอยู่ในท้องแม่แค่ 4 เซลล์ก็ถือว่ามีชีวิตแล้ว แล้ว 1 เซลล์จะมีชีวิตมั้ย ก็น่าคิดเหมือนกัน ต้องคิดกันต่อไป

    Update : ถ้าอย่างนี้แล้วท่านคิดว่าจิตใจกับสมองนี่แยกกันอย่างไร ในทางพุทธศาสนามองอย่างไร

    พระไพศาล : จิตใจเป็นมากกว่าสมอง คือจิตใจไม่ได้เป็นกระบวนการทางชีวเคมีหรือฟิสิกส์ที่มีสมองเป็นฐาน แต่ต้องเกี่ยวข้องกับสมอง หมายความว่า อย่างน้อยจิตใจต้องอาศัยสมองเป็นสื่อในการรับรู้ และเป็นสื่อในการแสดงออก เป็นตัวกลางในการสื่อกับโลกภายนอก เพราะจิตใจเป็นอายตนะทั้งห้าคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันรวมศูนย์กันที่สมอง จิตใจไม่มีตัวตน เป็นนามธรรม แต่ว่ามันมีอยู่ ภาษาพระเรียกว่า วิญญาณธาตุ ที่เมื่อมีสมอง แต่ไม่มีวิญญาณธาตุเข้าไปอยู่มันก็ไม่มีชีวิต แต่ถ้าพร้อมก็กลายเป็นชีวิต เคลื่อนไหวได้ เดินเหินได้ นึกคิดได้ สมองก็เป็นเพียงแค่สื่อกลางระหว่างวิญญาณกับโลกภายนอก วิญญาณอาจจะเห็นอะไรไม่ชัด ถ้าไม่ผ่านตา วิญญาณจะบอกอะไรไม่ได้ถ้าไม่บังคับให้ปากพูด วิญญาณกับสมองจึงเกี่ยวข้องกัน แต่ไม่ใช่เป็นอันเดียวกัน แม้กระทั่งทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ยังเถียงกันอยู่เลยว่าความจำอยู่ที่ไหน เราคิดว่าอยู่ที่สมอง แต่แนวคิดแบบองค์รวมบอกว่ามันอาจจะอยู่นอกสมองก็ได้ เราอาจจะบอกได้ว่าสมองส่วนนี้เก็บความจำเกี่ยวกับคำว่าส้ม แอปเปิ้ล แต่มีความทรงจำอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน ทำไมคนที่แขนขาดยังรู้สึกเจ็บที่แขนข้างที่ขาด รู้สึกได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก ทางศาสนาพุทธก็อธิบายว่ามันเกี่ยวเนื่องกัน แต่ฟังก์ชั่นของจิตทุกอย่างไม่ใช่อยู่ที่สมอง แต่จิตจะทำหน้าที่ได้ดีต้องอาศัยสมอง คนที่ตายไปแล้วจิตจะคิดอะไรได้ไม่ดี มองอะไรก็ไม่ชัดเจน เพราะเขาขาดสมอง ในทางพุทธศาสนาถือว่าคนตายไปแล้วจะเหลือแต่วิญญาณธาตุที่ไม่ค่อยมีสติ คิดอะไรไม่ชัด หวั่นไหวง่าย โกรธง่าย นี่คือความเชื่อแบบทิเบต แล้วจิตนั้นจะมีดีอย่างเดียวคือรับรู้อะไรได้ไง เช่นเสียงดังแค่นี้จิตจะดังเป็นพิเศษ 7 เท่า จิตจะเห็นทุกคนที่อยู่รอบศพ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก เพราะคนที่ผ่านประสบการณ์ใกล้ตายเขาจะรู้สึกเหมือนร่างลอยอยู่ข้างบนแล้วจะเห็นหมอ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังทดสอบอยู่โดยการเอาของไปซ่อนแล้วดูว่าเขาจะเห็นมั้ย อีกไม่นานคงจะได้ทราบผลการทดลองกัน
    :- https://www.visalo.org/article/buddhika49_1.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2025 at 23:22
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,030
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,068
    ปาฐกถานุสรณ์ ครูองุ่น มาลิก
    บุญวิถีเพื่อชีวิตและสังคม

    พระไพศาล วิสาโล
    บทความนี้ปรับปรุงจากการบรรยายของพระไพศาล วิสาโล ในงาน “ดอกไม้กลางใจชน” ณ บ้านสวนองุ่น เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2542 การอ่านข้อเขียนระลึกถึงกัลยาณบุคคลสามารถยังให้เราได้รู้จักคติในชีวิตของบุคคลผู้นั้น และเตือนสติการนำพาชีวิตของเราเองด้วย โดยเฉพาะในยุคนี้ที่เราไม่อาจพบกัลยาณมิตรได้ง่ายนัก การเล่าสู่กันฟังก็มีน้อยเต็มที หน้ากระดาเพียงไม่กี่หน้าของ “ปาจารยบุคคล” นี้จึงน่าจะให้สติปัญญากับเราได้ไม่มากก็น้อย

    พวกเรามาประชุมร่วมกัน ณ ที่นี้เพื่อระลึกถึงอาจารย์องุ่น มาลิก ซึ่งได้ละโลกนี้ไปครบ 9 ปีในวันนี้ ตามประเพณีไทย เมื่อมีการจัดงานรำลึกถึงผู้วายชนม์ เราก็นิยมทำบุญให้ท่านด้วยการเลี้ยงพระ แต่ในวันนี้นอกจากการเลี้ยงพระแล้ว ยังมีการแสดงละครหุ่นและรายการอื่นๆ อีกมากมายเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับเยาวชน นอกจากจะเป็นการสนองเจตนารมณ์ของอาจารย์องุ่นซึ่งเป็นผู้รักละครหุ่นและอุทิศตนเพื่อเยาวชนแล้ว ยังนับว่าเป็นการทำบุญอีกแบบหนึ่งซึ่งมีคุณค่าเหมาะแก่โลกปัจจุบัน

    หลายท่านที่มางานนี้ค่อนข้างจะมีความหลากหลาย แตกต่างทั้งด้านวัย อาชีพ ภูมิหลังการศึกษาและภูมิลำเนา แต่ที่พร้อมใจกันมาร่วมงานวันนี้ได้ก็เพราะมีจุดร่วมประการหนึ่งได้แก่ ความเคารพนับถือและประทับใจในอาจารย์องุ่น อาตมาเชื่อว่าในสำนึกของทุกคน ณ ที่นี้ ภาพที่โดดเด่นที่สุดของอาจารย์องุ่นคือผู้เฒ่าใจดีที่เปี่ยมด้วยอุดมคติ รักความเป็นธรรมอย่างยิ่ง แม้จะชราแต่ก็มี “ไฟ” แห่งการทำงานเพื่อส่วนรวมอีกทั้งยังไม่ถือตัว มีความเป็นกันเองกับคนรุ่นลูก รุ่นหลาน หลายคนประทับใจอาจารย์องุ่นที่ไม่เคยคิดแสวงหาโอกาสหรือผลประโยชน์ คุณสมบัติเช่นนี้เองที่ทำให้เราสามารถจัดกิจกรรมที่มีประโยชน์บนที่ดินมูลค่านับร้อยล้านบาทซึ่งอาจารย์องุ่นได้มอบเป็นสมบัติของส่วนรวมตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ หลายคนเช่นกันที่ประทับใจอาจารย์องุ่นตรงที่มีชีวิตอย่างเรียบง่าย ดังแสดงให้เห็นจากเสื้อผ้าอันสมถะ อีกไม่น้อยคงนึกไม่ถึงว่าจะได้รู้จักอาจารย์เป็นครั้งแรกในการชุมนุมประท้วง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับอาจารย์องุ่นมาก

    อาตมาเองจำได้ว่า พบอาจารย์องุ่นเป็นครั้งแรกที่วัดชลประทานรังสฤษฏิ์ราวๆ ปี 2518 รู้สึกสะดุดใจกับเครื่องแต่งกายและความคล่องแคล่วปราดเปรียวของอาจารย์ตั้งแต่ครั้งนั้น แต่ก็ไม่เคยได้คุยกับอาจารย์เลย แม้จะเคยมาที่บ้านซอยทองหล่อเมื่อกว่า 20 ปีแล้วก็ตาม ได้แต่สดับตรับฟังเรื่องราวของอาจารย์เป็นครั้งคราว โดยเฉพาะเมื่ออาจารย์ย้ายมาอยู่ที่บ้านนี้ในบั้นปลายของชีวิต เรื่องราวเหล่านี้เมื่อปะติดปะต่อกันแล้วก็ได้ภาพของคนที่เสียสละ มีอุดมคติ และมีความ “แรง” ทั้งในด้านความคิดและอารมณ์ความรู้สึก

    อาจารย์องุ่นแม้จะเป็นคนที่มีความ “แรง” ในทางการเมือง ถ้าดูจากมาตรฐานของคนทั่วไปซึ่งมักมีความรู้สึกไม่ดีกับการไปชุมนุมประท้วง แต่ในเวลาเดียวกันอาจารย์องุ่นก็เป็นคนธัมมะธัมโมมาก นอกจากชอบเข้าวัดศึกษาธรรมแล้ว ยังใฝ่ในการทำบุญ แต่การทำบุญของอาจารย์นั้นไม่ค่อยเหมือนกับที่คนส่วนใหญ่นิยมกระทำ เราอาจจะไม่ค่อยเห็นอาจารย์องุ่นเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดทอดกฐินผ้าป่าถวายเงินวัด นั่นก็เพราะอาจารย์นิยมทำบุญด้วยการลงมือลงแรงด้วยตนเอง ได้ทราบว่าตอนที่อาจารย์องุ่นบุกเบิกวัดฝายหินที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้น อาจารย์องุ่นลงมือขุดดิน ขนหิน ถางหญ้าด้วยตนเอง นอกเหนือจากการบริจาคเงิน

    ความจริงแล้ว การทำบุญของอาจารย์องุ่นมิได้จำกัดแค่ทำกับวัดเท่านั้น หากยังขยายทำกับคนอื่นด้วยการตั้งมูลนิธิเพื่อให้การศึกษาและอุปถัมภ์ลูกของกรรมกร การสอนหนังสือและทำหุ่นมือให้เด็ก รวมทั้งการสนับสนุนให้คนอื่นได้ร่วมกันทำความดี เช่น เอื้อเฟื้อให้หมอมาทำการตรวจสุขภาพคนยากคนจน กิจกรรมเหล่านี้ของอาจารย์องุ่นล้วนเรียกว่าเป็นการทำบุญทั้งสิ้น จนแม้แต่การร่วมชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ผู้ยากไร้ ก็จัดว่าเป็นการทำบุญเช่นกันตามความหมายในทางพุทธศาสนา

    คนจำนวนไม่น้อยคงนึกไม่ออกว่าการกระทำดังกล่าวของอาจารย์องุ่น จะเรียกว่าเป็นการทำบุญได้อย่างไร เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก ทั้งนี้ก็เพราะปัจจุบันคำว่า “บุญ” มีความหมายเรียวแคบลงมาก จนกลายเป็นว่าบุญนั้นจะต้องทำกับพระหรือกับวัดเท่านั้น และที่แคบลงไปกว่านั้นก็คือ เข้าใจว่าบุญหมายถึงการบริจาคเงินให้วัด หรือใส่บาตร เลี้ยงพระเท่านั้น ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว บุญมีความหมายกว้างกว่านั้นมาก การบริจาคเงินให้วัดหรือเลี้ยงพระจัดว่าเป็นการทำบุญประเภทหนึ่งเท่านั้น คือการให้ทาน (ทานมัย) และการให้ทานที่จัดว่าเป็นบุญนั้น ตามหลักพุทธศาสนาก็มิได้จำกัดว่าจะต้องทำกับพระหรือกับวัดเท่านั้น จะทำกับใคร หากเป็นไปด้วยเมตตา ความปรารถนาดี ก็ถือว่าเป็นบุญทั้งนั้น
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,030
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,068
    (ต่อ)
    บุญนั้นหมายถึงความดี ขึ้นชื่อว่าความดีแล้วไม่ว่าทำกับใคร หรือทำในรูปใด ก็ย่อมเป็นความดีอยู่นั่นเอง ในทางพุทธศาสนา ท่านได้แยกบุญหรือความดีเป็น 10 ประเภทเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ นอกจากการให้ทาน และการรักษาศีลแล้ว ก็ยังมีอีกเช่น การบำเพ็ญประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือช่วยเหลือรับใช้ผู้อื่น (ไวยาวัจมัย) การเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในการทำความดี (ปัตติทานมัย) การยินดีในความดีที่ผู้อื่นได้กระทำ (ปัตตานุโมทนามัย) แม้แต่การสดับฟังหรือเล่าเรียนธรรม (ธัมมัสสวนมัย) และการชี้แจงแสดงธรรม (ธรรมเทศนามัย) ก็เป็นการทำบุญด้วยเช่นกัน

    ถ้าเราเข้าใจบุญตามความหมายที่แท้จริงของพุทธศาสนาแล้ว จะเห็นได้ว่าอาจารย์องุ่นได้ทำบุญไว้มากมายหลายประการ จะว่าไปเพียงแค่การที่อาจารย์องุ่นได้ปลูกสวน เปิดบ้านให้เป็นที่พักอาศัยของนักกิจกรรม ไม่ว่าที่ซอยทองหล่อหรือที่สวนอัญญา ก็ถือว่าเป็นการทำบุญที่สำคัญอย่างหนึ่ง ดังมีพุทธพจน์รับรองว่า

    “ชนเหล่าใด ปลูกสวน ปลูกป่า สร้างสะพาน จัดที่บริการน้ำดื่ม และบึงบ่อสระน้ำ ให้ที่พักอาศัย บุญของชนเหล่านั้นย่อมเจริญงอกงาม ทั้งคืนทั้งวันตลอดทุกเวลา”

    เห็นได้ว่าบุญในทางพุทธศาสนานั้นคือความดีที่ครอบคลุมทั้งการทำชีวิตให้เจริญงอกงามและการสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ส่วนรวม ถ้าเป็นการทำบุญที่แท้จริงแล้ว ย่อมก่อให้เกิดความดีทั้ง 2 ด้านอย่างแยกจากกันไม่ออก แม้ว่าการทำบุญบางประเภทอาจจะดูเหมือนว่าเน้นที่ด้านใดด้านหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ก่อให้เกิดอานิสงส์อีกด้านหนึ่งตามมาด้วยเสมอไป อาทิ การให้ทาน ในด้านหนึ่งก็เป็นการแบ่งปันหรือเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น ช่วยให้สังคมเกิดความสงบสุข แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นการลดความตระหนี่ถี่เหนียว และบรรเทาความยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์สมบัติ เท่ากับเป็นการพัฒนาฝึกฝนจิตให้งอกงาม หรือเป็นการชำระจิตให้บริสุทธิ์ สมดังคำแปลของคำว่าบุญในภาบาลี ในทองเดียวกัน การศึกษาเล่าเรียนธรรม ก็มิได้มีผลในทางพัฒนาจิตใจของบุคคลเท่านั้น หากยังช่วยให้สังคมมีความสงบเย็นด้วย เพราะคนที่มีธรรมย่อมนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมอยู่เสมอ อานิสงส์ 2 ด้านของบุญนั้นเห็นได้จากพุทธพจน์ที่ว่า

    “คนผู้ใฝ่ประโยชน์ควรศึกษาบุญ ซึ่งมีผลกว้างขวางยิ่งใหญ่ อำนวยสุขให้ คือควรเจริญทาน ควรพัฒนา ความประพฤติที่ชอบธรรม และควรเจริญเมตตาจิตครั้นเจริญธรรม 3 ประการนี้ อันเป็นแหล่งที่ก่อเกิดความสุขแล้ว บัณฑิตย่อมเข้าถึงโลกที่เป็นสุขไร้การเบียดเบียน”

    ด้วยเหตุที่บุญมีความหมายครอบคลุมทั้งความดีในระดับบุคคลสังคม พุทธศาสนาจึงให้ความสำคัญแก่บุญมาก จนกลายเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมพุทธ และกลายเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมไทยในเวลาต่อมา

    อย่างไรก็ตามการทำบุญในปัจจุบัน นอกจากจะมีความหมายแคบลงแล้ว ยังคลาดเคลื่อนไปจากหลักธรรมในทางพุทธศาสนาด้วย ดังเห็นได้ว่าทุกวันนี้ผู้คนมักจะ “ทำบุญ” โดยหวังผลตอบแทนหรือผลดลบันดาล เช่น ขอให้มั่งมีศรีสุข ได้เลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งหรือสอบไล่ได้ การทำบุญจึงกลายเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากการซื้อหุ้นโดยหวังว่าผลที่ได้รับกลับคืนมาจะเพิ่มเป็น 10 เท่า 100 เท่าของทุนที่ลงไป การทำบุญแบบนี้นอกจากจะเพิ่มความโลภและทำให้งอมืองอเท้า ไม่ขวนขวาย รอพึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือแรงดลบันดาลของสิ่งที่ตนเรียกว่าบุญแล้ว ยังมักจะไม่ก่อผลดีแก่ส่วนรวมด้วย เพราะเงินที่ทำบุญนั้นกลับไปกระจุกจมอยู่ไม่กี่แห่ง แทนที่จะกระจายไปเป็นประโยชน์แก่ชุมชน ซ้ำร้ายบางครั้งเงินเหล่านั้นกลับสร้างอาณาจักรหรือเสริมกำลังให้แก่คนที่ประพฤตินอกพระธรรมวินัยด้วย

    ที่จริงการหวังผลดลบันดาลจากการทำบุญกับวัดหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมิใช่เรื่องเสียหายเท่าใดนัก หากว่าช่วยให้เกิดกำลังใจในการทำความดีหรือเพียรพยายามต่อไป บางครั้งคนเราก็มองไม่เห็นที่พึ่งอื่น นอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนั้นการทำบุญแบบนี้ยังเป็นเรื่องพอทำเนา หากว่าคติการทำบุญในลักษณะอื่นๆ ยังมีอยู่อย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะการทำบุญด้วยการช่วยเหลือส่วนรวม เช่น การสร้างถนน ทำฝาย รักษาป่า ดูแลแหล่งน้ำ สอนหนังสือ หรือสืบทอดวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของท้องถิ่น แต่ทุกวันนี้เห็นได้ชัดว่าคติการทำบุญแบบนี้เลือนหายไปมาก จนเหลือแต่การทำบุญชนิดหวังผลตอบแทนแก่ตนเองล้วนๆ ผลก็คือการทำบุญมีความหมายที่เพี้ยนไปหมด

    จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรื้อฟื้นความหมายที่แท้ของการทำบุญขึ้นมาใหม่ เหตุผลไม่ใช่เพียงเพราะว่าการทำบุญในปัจจุบันนั้นคลาดเคลื่อนและแคบลงเท่านั้น หากยังเป็นเพราะผู้คนในปัจจุบันกำลังเห็นแก่ตัวกันมากขึ้นทุกที ต่างคิดถึงแต่ตนเอง ขาดจิตสำนึกต่อส่วนรวม ทัศนคติเช่นนี้นอกจากจะนำไปสู่การเบียดเบียนกันโดยตรงแล้ว ยังทำร้ายกันทางอ้อม โดยการแย่งชิงสมบัติสาธารณะไปเป็นของตนเองหรือผลาญพร่าทรัพยากรส่วนรวมเพื่อสนองประโยชน์ของตน เช่น ตัดไม้ทำลายป่า ปล่อยของเสียลงแม่น้ำ หรือพ่นพิษใส่อากาศ และที่ทำกันอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้นทุกทีก็คือการฉ้อราษฎร์บังหลวง เวลานี้การฉกฉวยเงินส่วนรวมได้แพร่ระบาดลงไปถึงระดับตำบลและหมู่บ้านอย่างชัดเจน

    การนับถือเงินเป็นเรื่องใหญ่ไม่เพียงแต่จะทำลายความสงบสุขของสังคมเท่านั้น หากยังกัดกร่อนคุณภาพชีวิตของผู้คนลงไปทุกที ทำให้ผู้คนถูกเผาลนด้วยความอยาก แม้จะขวนขวายดิ้นรนหามาได้เท่าไรก็ไม่เคยสมอยาก เกิดความเครียดรุนแรง จนหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ ความสุขในจิตใจก็เข้าไม่ถึง ส่วนความสุขจากความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือชุมชนก็ไม่พบเพราะเงินและวัตถุได้ทำให้ผู้คนเหินห่างและแปลกแยกจากนั้น

    ในปัจจุบัน จิตสำนึกต่อส่วนรวมกำลังเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่จะช่วยให้สังคมมีความสงบสุขได้ โดยเฉพาะในยามที่อำนาจเงินกำลังไหลบ่ามาแรง จำเป็นที่คนในสังคมจะต้องผนึกกำลังกันเพื่อป้องกันมิให้อำนาจทุนแย่งชิงสมบัติส่วนรวมไป เวลานี้มีหน่วยงานและเครือข่ายต่างๆ เกิดขึ้นมากมายเพื่อระดมสร้างจิตสำนึกแบบนี้ ล่าสุดก็คือขบวนการประชาสังคม
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,030
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,068
    (ต่อ)
    หน่วยงานและขบวนการเหล่านี้ควรจะหันมาสนใจคติเรื่องบุญกันให้มาก และควรร่วมกันรื้อฟื้นความหมายที่แท้ของการทำบุญขึ้นมาใหม่ โดยพยายามเอาความเชื่อเรื่องบุญมาโยงให้เป็นเรื่องเดียวกับการเสียสละเพื่อส่วนรวม วิธีนี้นอกจากจะช่วยส่งเสริมสำนึกต่อส่วนรวมโดยตรงแล้ว ยังมีข้อดีคือเป็นของเดิมที่มีอยู่แล้วในวัฒนธรรมไทย แทนที่จะเอาแนวคิดแบบฝรั่ง เช่น คุณธรรมพลเมือง หรือ civic virtues มาใช้ คนไทยน่าจะยอมรับและเข้าใจได้ง่ายกว่าหากเอาคำว่าบุญมาใช้สื่อความหมายที่ต้องการแทน ซึ่งเป็นความหมายที่สอดคล้องกับพุทธศาสนาอยู่แล้ว อีกทั้งยังทำให้แนวคิดและขบวนการนี้มีความเป็นไทยหรืออิงกับวัฒนธรรมไทยมากขึ้น แทนที่จะมีภาพลักษณ์ว่าเป็นสิ่งที่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้ดูแปลกแยกจากชาวบ้านไปได้ง่ายๆ

    อานิสงส์สำคัญประการหนึ่งของการเชื่อมบุญกับการทำกิจส่วนรวมเข้าด้วยกันก็คือ ผลในทางจิตใจและชีวิตด้านใน คนไทยทั่วไปหากได้ทำบุญเมื่อใด ก็จะรู้สึกแช่มชื่นเป็นสุข ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ทำกิจส่วนรวมแล้วรู้สึกว่าได้ทำบุญ ก็จะเกิดความแช่มชื่นปราโมทย์โดยอัตโนมัติเท่ากับว่าได้เกิดทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ความรู้สึกแช่มชื่นปราโมทย์นี้จะช่วยให้ทำกิจส่วนรวมอย่างมีความสุข สิ่งนี้มีความสำคัญก็เพราะความสุขนั้นช่วยให้ทำงานส่วนรวมได้อย่างต่อเนื่องยั่งยืน นักกิจกรรมเพื่อสังคมเป็นอันมากทำงานได้ไม่นาน ก็เพราะไม่มีความสุข หรือถึงจะอดทนทำต่อไปก็มักทำด้วยความเคร่งเครียด

    เห็นได้ว่า คติความเชื่อเรื่องบุญนั้นไม่เพียงแต่จะมีคุณค่าต่อแนวทางการทำงานของนักกิจกรรมเพื่อสังคมเท่านั้น หากยังมีประโยชน์ต่อชีวิตจิตใจของนักกิจกรรมเหล่านั้นด้วย ไม่ว่าจะทำงานสงเคราะห์เด็ก ส่งเสริมกลุ่มผู้หญิง ช่วยเหลือชาวเขา ปกป้องสิทธิมนุษยชน พัฒนาประชาธิปไตย รักษาสิ่งแวดล้อมหรืออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ กิจกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง และหากผู้ที่ทำกิจกรรมเหล่านี้ตระหนักว่านี้คือการทำบุญ ก็น่าจะบังเกิดความรู้สึกยินดีแช่มชื่นไปด้วย

    อย่างไรก็ตาม เพียงแค่รู้สึกว่ากำลังทำบุญอยู่ยังไม่พอ แม้ความแช่มชื่นจะเกิดขึ้นแต่ก็อาจไม่ยั่งยืน ดังนั้นนอกจากการทำกิจส่วนรวมแล้ว ควรทำบุญประเภทที่เป็นเรื่องด้านในโดยตรง บุญประเภทหนึ่งที่ควรกล่าวถึงในที่นี้ก็คือ ภาวนามัย หรือการฝึกอบรมจิตใจ ภาวนามัยนี้เราสามารถทำไปพร้อมๆ กับงานภายนอกหรือกิจส่วนรวมได้ เช่น ขณะที่ทำงานก็พยายามตั้งจิตปรารถนาดีต่อผู้อื่น แม้จะถูกกระทบก็ให้อภัยหรือสะกดใจไม่คิดร้าย ถือเป็นโอกาสสร้างขันติธรรม มีธรรมหลายอย่างที่เราสามารถทำให้งอกงามได้ในขณะทำงาน เช่น เจริญสติ หรือลดละความโลภ ความโกรธ ตลอดจนฝึกให้รู้จักปล่อยวางผลที่จะเกิดขึ้น ไม่ติดยึดกับความล้มเหลวหรือความสำเร็จ สนใจแต่จะทำงานให้ดีที่สุด งานใดก็ตามหากไตร่ตรองมองเห็นแล้วว่าดีมีประโยชน์ ก็พยายามทำโดยไม่คำนึงว่าจะ “แพ้” หรือ “ชนะ” เป็นต้น บุญหรืองานด้านในเหล่านี้ เราสามารถทำไปพร้อมกับบุญหรืองานด้านนอก หรือจะทำในเวลาที่ว่างจากการงานก็ได้ การฝึกจิตให้สงบก็เป็นงานด้านในอีกอย่างหนึ่งที่เราควรทำกันมากๆ เพื่อจะช่วยให้ชีวิตมีความสุข และอาศัยสุขนั้นหล่อเลี้ยงการทำงานให้เป็นไปด้วยดี

    การทำงานเพื่อสังคมหรือการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวมนั้น แยกไม่ออกจากชีวิตด้านใน หากชีวิตด้านในเจริญงอกงาม การทำงานก็เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่สังคมอย่างแท้จริง และทำให้งานนั้นเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง แต่หากชีวิตด้านในถูกปล่อยปละละเลยก็อาจทำให้การทำงานนั้นเบี่ยงเบนไป กลายเป็นการสนองประโยชน์ส่วนตนโดยไม่รู้ตัว หาไม่ก็ทำได้ไม่ต่อเนื่อง เพราะท้อแท้ หมดกำลังใจ พอมีความทุกข์แล้ว ไม่รู้ทางออก จัดการกับความทุกข์ด้วยตนเองไม่ได้ เพราะขาดความเข้าใจเรื่องชีวิตจิตใจ ก็มักจะลงเอยด้วยการระบายความทุกข์ใส่ผู้อื่น เลยเกิดความบาดหมาง ความสัมพันธ์ร้าวฉาน หาไม่ก็หาทางดับทุกข์ด้วยการหาสิ่งเสพมาบำเรอตน ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นทาสวัตถุ กลายเป็นคนฟุ่มเฟือย อยู่อย่างเรียบง่ายไม่ได้ นักกิจกรรมเพื่อสังคมเป็นอันมาก แม้จะมีความคิดก้าวหน้า ต่อต้านรัฐ คัดค้านทุน แต่วิถีชีวิตก็ถูกครอบด้วยลัทธิบริโภคนิยม กลายเป็นเหยื่อของทุนนิยมบริโภคไป

    ในแง่นี้ เราน่าจะศึกษาแบบอย่างจากอาจารย์องุ่น อาจารย์องุ่นไม่ได้ทำงานส่วนรวมอย่างเดียว หากยังขัดเกลาตนเองไปพร้อมๆ กันด้วย จึงสามารถที่จะมีชีวิตเรียบง่ายได้อย่างมีความสุข อาจารย์องุ่นไม่ได้เป็นเช่นนี้ตั้งแต่ยังเด็ก ได้ทราบว่าสมัยอาจารย์องุ่นยังสาว มีชีวิตอย่างคนทันสมัย แต่ต่อมาได้ลดละการเสพการบริโภคเรื่อยมา จนกลายเป็นคนสมถะ แต่งตัวราวกับชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ความเรียบง่ายของอาจารย์องุ่นมิได้อยู่ที่การแต่งตัวและการใช้ชีวิตเท่านั้น หากยังอยู่ที่จิตใจด้วย นี้คือเหตุผลว่าทำไมอาจารย์องุ่นไม่หวั่นไหวเลยกับราคาที่ดินของอาจารย์ที่ถีบตัวสูงขึ้น จนมีมูลค่านับร้อยล้านบาท ที่ดินดังกล่าวสามารถทำให้อาจารย์เป็นเศรษฐีเงินล้านได้ภายในชั่วข้ามคืน แต่แล้วอาจารย์กลับปฏิเสธโอกาสดังกล่าวและเลือกที่จะสละที่ดินผืนนั้นให้เป็นสาธารณะประโยชน์แทน ในทัศนะของอาจารย์องุ่น ความร่ำรวยฟุ้งเฟ้อนับว่าเป็นอันตรายโดยแท้ ความเรียบง่ายสันโดษต่างหากที่มีคุณค่าต่อชีวิต ในเรื่องนี้อาจารย์ได้กล่าวเตือนใจไว้อย่างน่าฟังว่า

    “ขอให้เราเลือกเส้นทางถ่อมตน ยืนหยัดทำหน้าที่อย่างสม่ำเสมอ แบบนกน้อยทำรังแต่พอตัว ฉะนั้นจงอย่าได้อ้างการนำที่ดิน 258 ตารางวาเข้าสู่ตลาดการค้าที่ดิน แล้วฝันจะได้เงินมาฟุ่มเฟือย เพราะนั่นคือดัชนีชี้ทางล่มสลาย”

    การที่เงินล้านทำอะไรอาจารย์องุ่นไม่ได้ แสดงว่าอาจารย์องุ่นเป็นผู้ทำบุญไว้มาก แต่บุญนี้อาจารย์องุ่นได้ทำแต่ชาติปางก่อน หากทำในชาตินี้นี่เอง ด้วยการลดละขัดเกลาและฝึกฝนพัฒนาตน อาจารย์องุ่นจึงเป็นคนมีความสุข ทั้งๆ ที่ทวนกระแสสังคมมาตลอด ใช่แต่เท่านั้นอาจารย์ยังสามารถทำงานเพื่อผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ เป็นที่พึ่งและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนได้มากมาย ทั้งๆ ที่อาจารย์องุ่นเป็นแค่คนเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น ชีวิตเช่นนี้น่าจะเป็นบทเรียนสำหรับเรา โดยเฉพาะที่เป็นนักกิจกรรมเพื่อสังคม

    จริงอยู่นักกิจกรรมเพื่อสังคมเป็นอันมากได้ผ่านการพิสูจน์ของกาลเวลา สามารถท้าทายอุปสรรคอันใหญ่หลวง จนแกร่งกล้าเข้มแข็ง แต่ก็มิถึงประมาทเพราะยังมีอุปสรรคอีกมากมายที่รออยู่เบื้องหน้า อันอาจทำให้เราพลัดตกลงไปในกับดักแห่งผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง อำนาจ หรือทรัพย์สินเงินทอง และถึงจะพาตัวแคล้วคลาดจากกับดักดังกล่าวได้ ก็อาจต้องมาถูกกความทุกข์บีบคั้นคุกคาม และความทุกข์หรืออุปสรรคที่น่ากลัวที่สุดซึ่งไม่มีใครหนีพ้นก็คือความตาย อาจารย์องุ่นอีกเช่นกันที่สามารถเป็นครูของเราได้ในเรื่องนี้ หลังจากผ่านการต่อสู้มามาก ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน แม้คุกตารางก็ผ่านมาแล้ว อาจารย์ก็ได้ข้อสรุปที่น่าเตือนเราไม่ให้ประมาท เมื่อใกล้ถึงวาระสุดท้าย อาจารย์องุ่นได้บอกลูกศิษย์คนหนึ่งว่า

    “สมัยที่เราต่อสู้เพื่อสังคมกัน เราเหนื่อย เราสูญเสีย แต่เราก็ไม่เคยกลัว ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อแท้ เรามีกำลังใจ มีความฮึกเหิม เพราะเราสู้เป็นขบวน มีเพื่อนร่วมต่อสู้มากมาย มีเป้าหมายเดียวกัน ประชาชนร่วมสู้เป็นแสนเป็นล้าน แต่การต่อสู้กับความเจ็บปวดในสังขารของตนเองนั้นเป็นการต่อสู้โดยลำพัง เป็นความเจ็บปวดของตัวตนของเราโดยแท้ ใครก็มาร่วมเจ็บปวดกับเราไม่ได้นะ”

    ด้วยการพัฒนาชีวิตด้านในหรือฝึกฝนใจเท่านั้น เราจึงจะสามารถเอาชนะความแตกดับของสังขารได้ ปัญญาอันเกิดจากภาวนาจะช่วยให้เรารู้เท่าทันความทุกข์และสามารถปล่อยวางความติดยึดในตัวตน อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ได้ การทำปัญญาดังกล่าวให้เกิดขึ้นหรือที่เรียกว่า ทิฏฐุชุกรรม เป็นบุญที่เราควรบำเพ็ญกันอย่างจริงจัง ถ้าทำได้ไม่เพียงแต่เราจะรู้วิธีตายเท่านั้น หากยังรู้วิธีอยู่ด้วย นั่นคืออยู่อย่างมีคุณค่าและเป็นสุข

    มิติ 2 ด้านของบุญ อันได้แก่การพัฒนาชีวิตด้านในและการสร้างสังคมให้น่าอยู่เป็นสิ่งสำคัญที่เราควรให้ความสำคัญกันให้มาก บุญในความหมายนี้เท่านั้นที่จะเป็นทางออกของสังคมไทย ทำให้ผู้คนเสียสละเพื่อส่วนรวม ขณะเดียวกันก็มีชีวิตที่ดีงามและเป็นสุข ที่แล้วมาเรามักแยก 2 ประการนี้ออกจากกัน จนเป็นคนละขั้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองสามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้โดยมีบุญเป็นตัวเชื่อม หากเรานำ 2 มิติของบุญนี้มาเชื่อมประสานเข้ากับชีวิตและงานของเรา ชีวิตและงานของเราจะไพบูลย์และมีพลังมาก และหากเราสามารถทำให้บุญในความหมายดังกล่าวฟื้นขึ้นใหม่ในสังคมไทย จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย สังคมของเราจะน่าอยู่และเข้มแข็ง สามารถเผชิญหน้ากับการท้าทายในยุคโลกาภิวัตน์ได้

    อาตมาได้ใช้เวลามามากแล้ว จึงสมควรยุติขออนุโมทนาทุกท่านที่ได้มาร่วมกันให้งานวันนี้มีความหมายในทางที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยเฉพาะแก่เด็กๆ และเยาวชน และขอให้งานวันนี้มีส่วนช่วยให้เรามีกำลังใจในการทำบุญเพื่อชีวิตและสังคมยิ่งๆ ขึ้นไปโดยอาศัยบทเรียนและแรงบันดาลใจจากอาจารย์องุ่น หากเราทำได้เช่นนั้น อาจารย์องุ่นได้ทราบด้วยญาณวิถีใด จะยินดีมาก ในท้ายที่สุดนี้ขอให้เราร่วมกันน้อมใจอุทิศส่วนบุญที่เราได้ทำกันในวันนี้ให้แก่อาจารย์องุ่น ขอให้ได้ประสบสุขและได้เจริญก้าวหน้าในบุญวิถียิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ว่าอาจารย์จะอยู่ในภพภูมิใดในบัดนี้ก็ตาม
    :- https://www.visalo.org/article/paja254303.htm

     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,030
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,068
    สันติภาพและธรรมาธรรมะสงครามในศตวรรษที่ ๒๑*
    พระไพศาล วิสาโล
    ๑๖ สิงหาคม เมื่อ ๕๓ ปีที่แล้วท่านปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้ออก “ประกาศสันติภาพ” เพื่อบอกประชาชนชาวไทยและชาวโลกว่าการประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นโมฆะ เป็นการยืนยันทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัยว่าประเทศไทยได้คืนสู่สภาวะอันสันติอีกครั้งหนึ่ง สงครามเป็นอันยุติอย่างแท้จริง ๕๓ ปีผ่านไป บัดนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญสงครามอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้เป็นสงครามที่ต่างจากสมัยของท่านปรีดี เพราะมิใช่สงครามที่ใช้อาวุธหากเป็นสงครามเศรษฐกิจ ใช่แต่เท่านั้น ในสงครามครั้งหลังนี้ไทยมิได้เป็นฝ่ายชนะดังครั้งก่อน หากเป็นฝ่ายแพ้

    วิกฤตการณ์ในเมืองไทยปัจจุบัน มองในแง่หนึ่งก็คือการแพ้สงครามเศรษฐกิจนั่นเอง แม้จะไม่มีต่างชาติมาปกครอง ไม่มีกองกำลังต่างด้าวมาตั้งในเมืองไทย แต่หลายคนก็ถือว่านี้เป็นการเสียบ้านเสียเมือง บางคนเรียกว่าเป็นการ “เสียกรุงครั้งที่๓” เพราะต่างชาติได้เข้ามายึดครองกิจการต่างๆของคนไทยรวมทั้งควบคุมเศรษฐกิจไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน “ต่างชาติ” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงรัฐบาลต่างชาติ แต่หมายถึงบริษัทต่างชาติ ทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังวิกฤตการณ์ในปัจจุบัน


    ความแตกต่างอีกประการหนึ่งระหว่างสงครามในสมัยท่านปรีดีกับปัจจุบันก็คือ สงครามในเวลานี้มิใช่สงครามระหว่างรัฐกับรัฐ หากเป็นสงครามระหว่างเศรษฐกิจกับเศรษฐกิจ ทั้งในระดับภูมิภาค (อาเซียนเอเชียตะวันออก) ระดับประเทศ ระดับบริษัท และระดับภาค (อุตสาหกรรม-เกษตรกรรม เมือง-ชนบท)

    พลานุภาพของพลังเศรษฐกิจ

    ไม่เคยมีครั้งใดที่พลังเศรษฐกิจจะมีพลานุภาพเท่าเวลานี้ มันสามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายทั้งในระดับกว้างและลึก กลายเป็นตัวกำหนดความเป็นไปต่างๆทั่วทั้งโลก มันได้เชื่อมโลกทั้งโลกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ว่าจะมีอุดมการณ์ ศาสนา ผิวสี หรือนโยบายทางการเมืองต่างกันเพียงใด ประเทศต่างๆทั่วโลกล้วนถูกผลักให้เข้าไปอยู่ในตลาดเดียวกัน

    เศรษฐกิจกลายเป็นเป้าหมายหรือเข็มมุ่งของทุกประเทศ และเป็นตัวตัดสินชะตากรรมของรัฐบาลทุกรัฐบาล ใช่แต่เท่านั้น มันยังกลายเป็นเป้าหมายของทุกชีวิต และกำหนดความสัมพันธ์ของคนในทุกระดับ สามารถทำให้ครอบครัวและชุมชนเหินห่างหรือถึงกับแตกสลาย สามารถเปลี่ยนแปลงประเพณีและวัฒนธรรมอีกทั้งยังเป็นพลังที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและศิลปะ

    ไม่มีอะไรเป็นแรงจูงใจที่ทรงพลังเท่ากับเศรษฐกิจ แม้แต่การเข้าวัดของผู้คนเวลานี้ ส่วนใหญ่ก็เพราะหวังลาภ หวังรวย เวลาจะทำอะไรก็ต้องถามก่อนว่าจะได้อะไร โครงการใดจะเป็นที่ยอมรับหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า มันก่อให้เกิดผลได้ในทางเศรษฐกิจหรือไม่ สร้างงาน ส่งเสริมรายได้ หรือนำเงินตราเข้าประเทศหรือเปล่า พูดง่ายๆคือเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดว่าอะไรควร ไม่ควร กล่าวโดยสรุป มันได้เปลี่ยนแปลงทั้งโลกทัศน์ของผู้คน ความสัมพันธ์ในสังคม และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนทั้งโลกเศรษฐกิจในการควบคุมของสังคม

    สมัยก่อนเศรษฐกิจไม่ทรงอำนาจมากเท่านี้ เพราะถูกควบคุม เหนี่ยวรั้ง กำกับด้วยวัฒนธรรม ประเพณี หรือพูดอีกอย่างหนี่งคือถูกสังคมควบคุมไว้เพื่อให้อยู่ในขอบเขต ในอดีตคนที่มีอาชีพพ่อค้าถูกจัดให้อยู่ในระดับล่างๆของสังคม ในประเทศจีน พ่อค้าจัดอยู่ในวรรณะต่ำสุดเพราะยังชีพโดยไม่ผลิตอะไรเลย เช่นเดียวกับในญี่ปุ่น ในอินเดีย วรรณะแพศย์อยู่ต่ำกว่าใครหมดยกเว้นวรรณะศูทร ในยุโรปคนที่มีอาชีพค้าดอกเบี้ยจะถูกประนามโดยศาสนจักรคาทอลิก การเก็งกำไร (จากการพนัน) ถูกห้าม ในสังคมพุทธแบบเถรวาท การแสวงหาทรัพย์ต้องถูกกำกับโดยศีลธรรม การค้าอาวุธ มนุษย์หรือสัตว์ถือว่าเป็นมิจฉาวณิชชา ส่วนการค้าขายสินค้าประเภทอื่นก็ถูกควบคุมด้วยความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ อีกทั้งยังถูกชุมชนควบคุมอีกชั้นหนึ่ง ทำให้การค้าขายหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจมิได้มุ่งกำไรหรือประโยชน์ส่วนตัวเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องคำนึงถึงผู้อื่นด้วย ท่านพุทธทาสภิกขุเล่าว่า คนไชยาแต่ก่อนเวลาจะทำนาก็นึกในใจว่า “นกกินเป็นบุญ คนกินเป็นทาน”

    วัฒนธรรมดั้งเดิมจะกำหนดแบบแผนให้คนรวยต้องปฏิบัติ เช่นเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนจน หาไม่จะถูกประนาม คำถามคือเหตุใดสังคมแต่ก่อนจึงพยายามควบคุมพลังทางเศรษฐกิจสูง ให้อยู่ในขอบเขต คำตอบก็คือเพื่อไม่ให้ผู้มีพลังทางเศรษฐกิจสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น พูดอีกแง่ก็เพื่อไม่ให้ความเห็นแก่ตัวกำเริบจนทำลายความสัมพันธ์ในสังคม ขณะเดียวกันก็เพื่อให้เศรษฐกิจก่อประโยชน์สร้างสรรค์มากที่สุด ทั้งต่อชีวิตและสังคม เศรษฐกิจเป็นอิสระจากสังคม

    แต่ในช่วง ๒-๓ ศตวรรษหลัง เศรษฐกิจพยายามอย่างยิ่งที่จะดิ้นรนเป็นอิสระจากศาสนา ในขณะที่วิทยาศาสตร์ค่อยๆทำให้พระเจ้า นรก และสวรรค์หายไป เศรษฐกิจก็เริ่มทำตัวให้เป็น “ศาสตร์” จึงเหินห่างจาก “ธรรม” และศาสนาเป็นลำดับ แทนที่จะอิงจริยธรรม เศรษฐกิจก็หันมาอิงกับ “กฎธรรมชาติ” (ที่ชื่อว่ากฎอุปสงค์อุปทาน)

    ความเห็นแก่ตัวและความโลภจึงถูก “ปลดปล่อย” จากกฎเกณฑ์ ศาสนา มาเป็นพลังขับเคลื่อนให้กับเศรษฐกิจ จนเกิดความเชื่อแพร่หลายว่า หากปล่อยให้ทุกตนแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนอย่างเสรี จะเกิดผลดีกับส่วนรวมโดยอำนาจของ “มือที่มองไม่เห็น”
    ในขณะที่ความโลภ ซึ่งเคยถูกรังเกียจ กลับกลายเป็นที่ยอมรับหรือถึงกับยกย่องว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโลกปัจจุบัน ผู้คนก็เริ่มเหินห่างกันมากขึ้น เงินตราที่แพร่หลายไปพร้อมกับระบบตลาด ทำให้ผู้คนพึ่งพากันเองน้อยลง เพราะสามารถใช้เงินว่าจ้างแรงงาน แทนที่จะใช้วิธีไหว้วานหรือ “ลงแขก” พร้อมกันนั้นผู้คนก็เป็นอิสระจากชุมชนมากขึ้น จะทำตัวให้น่าหมั่นไส้ ก็ยังอยู่รอดได้ เพราสามารถใช้เงินซื้อหาสิ่งจำเป็นจากที่อื่นมาได้ เนื่องจากชุมชุนเริ่ม “เปิด” มากขึ้นเพราะการทะลุทะลวงของระบบตลาด ผลคือชุมชนอ่อนกำลัง ความสัมพันธ์จางคลายลง ทำให้สังคมคุมเศรษฐกิจได้น้อยลง

    เศรษฐกิจเป็นอิสระจากรัฐ

    ในอดีต นอกจากสังคมแล้ว รัฐยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวกำกับเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบัน เศรษฐกิจไม่เพียงแต่จะเป็นอิสระจากสังคมมากขึ้นเท่านั้น หากยังหลุดจากการควบคุมของรัฐเป็นลำดับ และอยู่ใต้การอุปถัมภ์ของรัฐน้อยลง นายทุนมีความเข้มแข็งมากขึ้นจนแทบไม่ต้องพึ่งพานักการเมือง (หรือทหาร) อีกแล้ว หากมาควบคุมหรือชักใยนักการเมืองเสียเอง ปัจจุบันเศรษฐกิจทั้งเรียกร้องและผลักดันให้รัฐเลิกแทรกแซงตลาด เพื่อปล่อยให้ตลาดทำงานของมันเอง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือ การลดบทบาทของรัฐในด้านการผลิต วิสาหกิจกำลังถูกแปรรูปทั่วโลก ขณะเดียวกันก็มีการยกเลิกและผ่อนคลายระเบียบข้อบังคับที่รัฐเคยใช้เป็นเครื่องมือกำกับเศรษฐกิจ

    นอกจากนั้นปัจจัยทางเศรษฐกิจนานาชนิดก็กำลังเคลื่อนไหว “ลอด” รัฐและ “ข้าม” รัฐ โดยที่รัฐควบคุมได้น้อยลงทุกที ไม่ว่าจะเป็นสินค้า ทุน ข้อมูล แรงงาน

     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,030
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,068
    (ต่อ)
    เศรษฐกิจครอบงำสังคม

    เมื่อเศรษฐกิจเป็นอิสระจากสังคมแล้ว ขั้นต่อมาก็คือการครอบงำสังคม ทรัพยากรที่จำเป็นต่อการยังชีพของชุมชน ถูกดึงมาใช้สนองพลังทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นป่า น้ำ แร่ธาตุ แม้แต่ผู้คนก็ถูกแปรให้เป็น “ทรัพยากร” อีกประเภทหนึ่งคือแรงงาน ส่วนวัฒนธรรมประเพณีก็ถูกเอามาขาย การพึ่งพาตนเองของชุมชนถูกทำลาย ผู้คนถูกดึงเข้าสู่เมืองเพื่อเป็นแรงงาน ชาวนา ชาวไร่ถูกกระตุ้นและกดดันให้ผลิตเพื่อขาย จนต้องพึ่งพาตลาดในที่สุด ทั้งในฐานะผู้ผลิตและผู้บริโภค แม้แต่ศาสนาและการศึกษาก็กลายมาเป็นเครื่องมือรับใช้เศรษฐกิจ เช่น “ผลิต” คนให้มาตอบสนองตลาด แรงงานยิ่งกว่าชุมชน ส่วนวัดก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมบริโภค โดยอาศัย “ไสยพาณิชย์” หลักธรรมสำคัญถูกละเลย เหลือเพียงรูปแบบและพิธีกรรมซึ่งถูกแปรเป็นสินค้าอีกรูปแบบหนึ่ง โลกทัศน์ของผู้คนจึงหลุดลอยจากศาสนาและวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม กลับมีเงินเป็นศูนย์กลาง เงินกลายเป็นเป้าหมายของชีวิต เป็นสื่อกลางความสัมพันธ์ในทุกระดับ และเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ (จะทำอะไรก็นึกถึงเงินก่อนอย่างอื่น) ผลประโยชน์ส่วนตัวกลายเป็นเรื่องหลักในทุกมิติของชีวิตไม่เฉพาะการค้าขายเท่านั้น

    การครอบงำสังคมมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการแย่งชิงทรัพยากรในรูปแบบใหม่ ได้แก่การแย่งชิงทรัพยากรพันธุกรรม เพื่อแปรเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร อุตสาหกรรม และการแพทย์ ตัวชูโรงในเรื่องนี้คือบรรษัทข้ามชาติ ซึ่งกำลังมุ่งทำลายผลผลิตพื้นบ้าน (เช่นพันธุ์พืช) เพื่อให้คนหันมาพึ่งพาสินค้าของบรรษัทเหล่านี้ แบบแผนการบริโภคกำลังถูกเปลี่ยนน้ำอัดลมและฟาสต์ฟูดกำลังถูกยัดเยียดให้มาแทนที่ แม้แต่วัฒนธรรมและอัตลักษณ์ท้องถิ่นก็ตกเป็นเหยื่อการคุกคามของบรรษัทข้ามชาติ (นายโมริตะ เจ้าของโซนีเคยกล่าวว่า วัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นกำแพงการค้าที่กีดขวางสินค้าในโลกยุคโลกานุวัตร) บรรษัทเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะขยายอิทธิพลเข้ามายังทุกซอกทุกมุมของชุมชนท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังพยายามรุกเข้ามาถึงกระเพาะและจิตสำนึกของเรา (ผู้บริหารโค้กมีนโยบายจะขยาย “ส่วนแบ่งในกระเพาะ” ของคนทั่วโลก เขาไม่พอใจที่ในท้องของแต่ละคนโดยเฉลี่ยมีโค้กเพียง ๒ ออนซ์ต่อวันเท่านั้น ทั้งๆที่สามารถบรรจุของเหลวได้ถึงวันละ ๖๔ ออนซ์

    เศรษฐกิจเอารัฐเป็นเครื่องมือ

    ในเวลาเดียวกับที่ครอบงำทางสังคม เศรษฐกิจก็กำลังใช้รัฐเป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มพลังให้แก่ตัวมัน ที่เห็นชัดเจนก็คือการใช้รัฐยัดเยียดตลาดเสรี ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก โดยมีสูตรสำเร็จอยู่ ๓ ประการ คือแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ยกเลิกระเบียบข้อบังคับ และเปิดเสรีทางการเงินและการค้า

    แม้ว่าจะมีการพร่ำถึงตลาดเสรี แต่ในความเป็นจริงตลาดไม่ได้เสรีจริง เพราะรัฐถูกใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนภาคเศรษฐกิจเพียงบางภาคเท่านั้น งบประมาณของรัฐเป็นอันมากถูกใช้ไปในการสร้างสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์แก่บางภาค รวมทั้งส่งเสริมการวิจัยและประกันความเสี่ยง มีการให้อภิสิทธิ์ เช่น ลดภาษี ตั้งเขตปลอดภาษี รวมทั้งจัดการศึกษาที่สนองภาคธุรกิจยิ่งกว่าภาคอื่น มีการออกระเบียบที่เอื้ออำนวยภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ควบคุมผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อ “ตลาดเสรี” และภาคธุรกิจ เช่นสหภาพแรงงาน รัฐมิได้มีท่าทีว่าจะเล็กลงอย่างที่มักพูดกัน แต่ยังใหญ่อยู่เหมือนเดิม หรือยิ่งกว่า จุดหมายคือเพื่อรับใช้เศรษฐกิจนั่นเอง (“The Myth of the Minimalist State: Free Market Ambiguities” The Corner House, March 1998)

    เศรษฐกิจและรัฐกำลังครอบงำสังคม

    เวลานี้ผู้คนทั้งโลกกำลังเป็นทาสเศรษฐกิจเพราะถือเศรษฐกิจเป็นใหญ่ มุ่งแต่กำไรและผลประโยชน์ ใฝ่เสพและใฝ่บริโภคจนเป็นเหยื่อของลัทธิบริโภคนิยม ทุกอย่างในร่างกายถูกแปรให้เป็นสินค้า ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะ ตัวอ่อน ทารกในครรภ์ หรือแม้แต่ยีนก็ถูกแย่งเพื่อจดสิทธิบัตรผูกขาดแต่ผู้เดียว ขณะเดียวกันสังคมก็อ่อนแอเป็นลำดับ เพราะทรัพยากรธรรมชาติถูกแย่งชิง ความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมถูกทำลาย สายสัมพันธ์ในสังคมกำลังขาดวิ่น สังคมเต็มไปด้วยปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด โรคประสาท ส่วนช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนก็ถ่างกว้างมากขึ้น วัฒนธรรมและศาสนาไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางใจได้

    สังคมทุกสังคมกำลังสูญเสียอิสรภาพ เป็นเบี้ยล่างของตลาด และตลาดที่กำลังควบคุมชะตากรรมของทุกสังคมก็คือตลาดเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งมีอิทธิพลมหาศาล วิกฤตเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันเป็นผลจากการที่สังคมไปอิงอยู่กับตลาดเงินตราระหว่างประเทศ จนถูกพลังทางเศรษฐกิจที่ไร้สติ ไร้ศีลธรรมเข้าครอบงำ และฉุดกระชากลากจูงไปตามอำนาจของมัน สถานการณ์ในปัจจุบันชี้ให้เห็นถึงอันตรายของพลังทางเศรษฐกิจที่ไร้การควบคุมกำกับในทุกระดับ ขณะเดียวกันก็เป็นกระจกสะท้อนความอ่อนแอของสังคมเนื่องจากพื้นฐานถูกทำลาย และถูกตัดขาดจากทุนเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว (ทุนทางสังคม) จนพึ่งตัวเองไม่ได้
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,030
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,068
    (ต่อ)
    สงครามระหว่างเศรษฐกิจกับสังคม

    วิกฤตการณ์ปัจจุบันบ่งชี้ว่า สังคมไทยกำลังพ่ายแพ้พลังเศรษฐกิจ แต่การต่อสู้ขับเคี่ยวยังไม่ยุติเท่านี้ การต่อสู้ยังจะมีต่อไปและแหลมคมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆในศตวรรษหน้า การต่อสู้ระหว่างเศรษฐกิจกับสังคมจะเป็นสัมประยุทธ์ที่สำคัญอย่างยิ่ง ฝ่ายที่จะมีบทบาทมากก็คือบริษัทข้ามชาติซึ่งกำลังโตวันโตคืน จนมีอำนาจทางเศรษฐกิจยิ่งกว่าประเทศบางประเทศเสียอีก ปัจจุบันบริษัทข้ามชาติอันดับต้นๆ ๒๐๐ บริษัท หากเอาสินทรัพย์ทั้งหมดมารวมกัน จะมียอดรวมสูงกว่าผลผลิตมวลรวมประชาชาติของ ๑๘๒ ประเทศเสียอีก เคยมีการจัดอันดับหน่วยเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ๑๐๐ อันดับแรก ปรากฏว่าในจำนวนนี้ ๕๐ อันดับต้นคือบริษัทข้ามชาติ เมื่อปี ๒๕๓๙ เศรษฐกิจไทยใหญ่เป็นอันดับที่๓๐ ของโลก แต่มี ๕ บริษัทที่มีสินทรัพย์มากกว่าผลผลิตมวลรวมของไทย ได้แก่ มิตซูบิชิ มิตซุย สุมิโตโม จีเอ็ม และมารูเบนิ ๒ ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ปัจจุบันเศรษฐีแสนล้านจำนวน ๓๕๘ คนมีทรัพย์สินรวมกันเท่ากับคนเกือบครึ่งโลก (๒,๕๐๐ ล้านคน) ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความมั่งคั่งของคนเหล่านี้ได้มาจากการเป็นเจ้าของหรือเป็นผู้บริหารบริษัทข้ามชาติ (Ward Morehouse “Consumption, Civil Action and Corporate Power” Development, Vol. 41 No. 1 March 1998)

    อิทธิพลของพลังทางเศรษฐกิจยังเห็นได้จากอำนาจของตลาดเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีเงินทุนหมุนเวียนวันละ ๑.๕ ล้านล้านเหรียญ หรือเท่ากับ ๑๐ เท่าของผลผลิตมวลรวมของไทยทั้งปี ภายใต้การชักใยของนักการค้าเงินตราเพียงหยิบมือ สามารถโจมตีเงินบาทจนทรุดฮวบไปทั้งประเทศ และก่อผลกระทบต่อประเทศต่างๆอีกมากมายตามมา แม้แต่ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นจากอิทธิพลของมัน มันสามารถถูกใช้เพื่อต่อต้านการปฏิรูปในสหรัฐ หรือกดดันให้รัฐบาลสวีเดนต้องลดงบประมาณด้านสวัสดิการ มันสามารถกระแทกกระทั้นสังคม โดยการกดดันให้รัฐลดการใช้จ่าย ขึ้นภาษีหรือขึ้นราคาสินค้า แม้จะพูดกันเสมอว่าตลาดเงินตราระหว่างประเทศช่วยให้เกิดการเคลื่อนย้ายทุนอย่างเสรี ส่งเสริมให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ที่ไม่ค่อยพูดกันก็คือ ตลาดดังกล่าวได้ทำให้เกิดบ่อนขนาดมหึมาระดับโลก อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือของแก๊งอาชญากรรม (ที่หากินกับยาเสพติด ของเถื่อน ผู้หญิงและเด็ก) ทุกวันนี้ตลาดดังกล่าวช่วยให้แก๊งระดับโลกเหล่านี้สามารถโอนเงินไปนอกประเทศได้เสรี รวมทั้งเก็บเงินไว้ในบัญชีธนาคารลับชนิดที่รัฐยื่นมือไปไม่ถึง

    กล่าวโดยสรุป พลังเศรษฐกิจกำลังบดขยี้สังคมอย่างเข้มข้นรุนแรง ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทข้ามชาติมีพลานุภาพเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว (ในปี ๒๕๓๘ บรรษัทข้ามชาติ ๕๐๐ อันดับแรก มีกำไรเพิ่มขึ้นถึงร้องละ ๖๕ ขณะที่ประเทศต่างๆหากมีรายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐ ก็ถือว่ามหัศจรรย์แล้ว) ใช่แต่เท่านั้น บริษัทข้ามชาติเหล่านี้ยังมีอิสระเสรีอย่างไม่เคยมีมาก่อน ปลอดพ้นจากการควบคุมของศาสนาประเพณีและรัฐแถมยังมีรัฐเป็นเครื่องมือสำคัญ โดยอาศัยกระแสโลกานุวัตรเป็นพาหะแพร่อิทธิพล (Martin & Schumann, The Global Trap, Zed Books, 1997 บทที่ ๓)

    สันติภาพในศตวรรษที่ ๒๑

    การสัประยุทธ์ระหว่างเศรษฐกิจกับสังคมในแง่หนึ่งก็คือการต่อสู้ระหว่างความเห็นแก่ตัวกับความเห็นแก่ส่วนรวม เพราะคุณค่าที่อยู่เบื้องหลังพลังเศรษฐกิจปัจจุบันคือวัตถุนิยม ส่วนคุณค่าที่เป็นพื้นฐานของทุกสังคมและร้อยรัดสังคมให้อยู่ได้คือคุณธรรม การต่อสู้ระหว่างสังคมกับเศรษฐกิจ จึงเป็นการต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรม เรียกอีกอย่างก็คือ “ธรรมาธรรมะสงคราม”

    สันติภาพไม่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าเศรษฐกิจครอบงำสังคมจนเป็นทาส สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสังคมเข้ามาครอบงำกำกับเศรษฐกิจ (ธรรมะชนะอธรรม) นั่นหมายความว่า สังคมจะต้องเข้มแข็ง เพื่อต้านทานพลังเศรษฐกิจที่ไร้คุณธรรม เศรษฐกิจที่ไร้คุณธรรมหรือไร้สตินั้น มีอันตรายไม่น้อยกว่ารัฐเผด็จการที่ไร้ศีลธรรม ชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้ชี้ว่าสาเหตุที่ตะวันตกสามารถชนะนาซีและคอมมิวนิสต์ได้ ไม่ใช่เพราะมีเทคโนโลยีสูงกว่า หรือเพราะระบบทุนนิยมเสรีมีประสิทธิภาพกว่า ตรงกันข้ามตะวันตกมีชัยชนะได้เพราะสามารถควบคุมทุนนิยมเสรีมิให้ไปทำลายสังคมจนอ่อนแอต่างหาก “สิ่งเดียวที่จะเหนี่ยวรั้งทุนนิยมเสรีให้เป็นพลังที่มีสติได้ก็คือ การหวลกลับไปคำนึงถึงคุณค่าและจริยธรรมทางศาสนา ตลอดจนแบบอย่างวิถีชีวิตของชุมชนชนบทที่เรียบง่าย” คือข้อสรุปของชัยอนันต์

    คุณค่าและจริยธรรมทางศาสนาจะมีพลังพอที่จะทำเช่นนั้นได้ ปัจจัยสำคัญก็คือสังคมต้องเข้มแข็ง ทั้งนี้ก็เพราะสังคมนั้นเป็นฐานที่มั่นหรือแหล่งฟูมฟักศาสนาและจริยธรรม ถ้าสังคมอ่อนแอ ศาสนาและจริยธรรมก็พลอยอ่อนแอตามไปด้วย สิ่งที่ตามมาก็คือการแพร่ระบาดของทุนนิยมและบริโภคนิยม เพราะเมื่อใดก็ตามที่ศาสนาและวัฒนธรรมไม่สามารถเป็นที่พึ่งของคนได้ ทุนนิยมและบริโภคนิยมก็จะกลายเป็นที่พึ่งของคนแทน (โดยอาจมีไสยศาสตร์เข้าไปผสมโรงด้วย)

    มนุษย์ทุกคนย่อมต้องการแสวงหาความสุขทางจิตใจ ความสุขระดับพื้นฐานได้แก่ ความรัก ความเข้าใจ การมีโอกาสสร้างสรรค์สิ่งดีงาม และมีอิสระเสรี เป็นต้น คุณค่าเหล่านี้ สังคม ชุมชน และครอบครัวที่เข้มแข็งสามารถให้ได้ แต่เมื่อสังคมอ่อนแอ ก็ไม่อาจได้รับสิ่งเหล่านี้ ผลก็คือเข้าหาทุนนิยมและบริโภคนิยมแทนเพราะมันมีสิ่งดึงดูดใจ เช่น ความสนุกสนาน ความสะดวกสบาย อำนาจ สถานภาพ และเสรีภาพ (ในการบริโภค) คุณค่าเหล่านี้เป็นคุณค่าเทียม แต่ปลอบประโลมใจได้ชั่วคราว คนเลยเข้าหาและหลงใหล แต่ก็ไม่ทำให้พอใจอย่างแท้จริงเสียที จึงไล่ตามมันไม่จบสิ้น กลายเป็นสิ่งเสพติดไปสร้างสังคมให้เข้มแข็ง

    สังคมจะควบคุมเศรษฐกิจได้ก็ต่อเมื่อสังคมมีความเข้มแข็ง วิธีการที่จะทำให้สังคมเข้มแข็งก็คือ

    1. ทำสังคมให้กระชับแน่นขึ้น ได้แก่การพยายามยึงโยงผู้ป่วยเข้าหากัน ขยายความสัมพันธ์ในแนวราบ โดยการรวมกลุ่มช่วยเหลือกัน (ทั้งในละแวกบ้าน ในหมู่บ้าน อำเภอ จังหวัด ลุ่มน้ำ) รับผิดชอบกิจการสาธารณะร่วมกัน (เช่นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พิทักษ์ป่าชุมชน ทำกลุ่มออมทรัพย์ ตั้งชมรมการเกษตร ส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น) ขณะเดียวกันก็โยงกันเป็นเครือข่ายกว้างขวาง กลุ่มเหล่านี้ไม่ควรพี่งเงินตราเป็นสำคัญ หากควรพึ่งทุนทางสังคม โดยอิงระบบคุณค่าที่ยึดถือร่วมกัน สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกันให้เกิดขึ้น เพื่อเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันอย่างแท้จริง กล่างอีกนัยหนึ่งคือการแปรพลังของสังคมให้เป็นพลังทางศีลธรรม

    2. ควบคุมเศรษฐกิจด้วยสังคม แนวความคิดเรื่องเศรษฐกิจชุมชน สัจจะออมทรัพย์ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวคิดที่มุ่งให้เศรษฐกิจตอบสนองชุมชนและสังคม เป้าหมายมิใช่เพื่อกำไร แต่เพื่อความผาสุกในชีวิตและความกลมกลืนในสังคม นอกจากนั้นสังคมควรควบคุมเศรษฐกิจในแง่อื่นด้วย เช่น กดดันเรียกร้องให้ธุรกิจต่างๆรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมให้มากขึ้น (ชัยอนันต์ สมุทวณิช สยามสู่ศตวรรษที่ ๒๑ (กรุงเทพ ฯ ๒๕๓๖) หน้า ๘๕)

    3. ให้ชีวิตเรามีคุณค่าทางสังคมเป็นแกนนำ หมายความว่าเมื่อจะทำอะไรก็ตาม เราไม่พึ่งมุ่งเอาเงินหรือผลประโยชน์ทางวัตถุเป็นตัวตั้ง หากควรมุ่งประโยชน์ที่จะเกิดแก่คุณภาพชีวิตและส่วนรวมเป็นหลัก เช่น สุขภาพ ความสุขทางใจ มิตรภาพ ความสามัคคี อีกทั้งพึงให้เวลาแก่ชีวิตและกิจกรรมทางสังคม (เช่นสานสัมพันธ์ในครอบครัว หรือทำกิจกรรมส่วนรวม) มากกว่าการหาเงินทำกำไร ใช่แต่เท่านั้น แม้แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเราก็ควรคำนึงถึงคุณค่าทางสังคมด้วย มิได้คิดแต่กำไร ขาดทุนเป็นด้านหลัก ถ้าเป็นผู้ผลิตก็ควรคิดถึงผลกระทบต่อสังคมส่วนรวมด้วย เวลาทำอาชีพการงานก็พยายามเอื้อเฟื้อสังคมไปในตัว เช่น ลงทุนในกิจการที่มีประโยชน์ ส่วนผู้บริโภค ก็พึงซื้อของที่มีผลกระทบต่อสังคมน้อย ตระหนักถึงคุณค่าที่แท้หรือผลประโยชน์ที่ยั่งยืนกว่า ยิ่งกว่าคุณค่าเทียมหรือมุ่งสนองกิเลสอย่างเดียว พร้อมกันนั้นก็พึงมีวินัยในการใช้เงิน จะได้ไม่พลัดตกเป็นทาสของบริโภคนิยมจนเห็นเงินเป็นใหญ่

    4. ทำชีวิตด้านในให้เข้มแข็ง พึงรู้จักแสวงหาความสุขอันประณีต (จากความสัมพันธ์ ธรรมชาติ) รวมทั้งความสุขจากภายใน ยิ่งจิตเป็นอิสระจากวัตถุได้มากเท่าไร ชีวิตด้านในก็สงบเย็นและมั่นคงมากเท่านั้น

    5.
    ปัญหาของคนปัจจุบันก็คือหาความสุขจากตัวเองไม่ได้ เลยต้องพึ่งวัตถุ สำคัญไปว่าความสุขนั้นจะได้มาก็ด้วยการเสพและการครอบครองทรัพย์สินเท่านั้น ทั้งๆที่ความสุขที่แท้จริงนั้นได้จากการให้ การละ และความพอใจสิ่งที่ตนมี ทุกวันนี้ผู้คนพากันเอาอัตลักษณ์ไปผูกติดกับวัตถุหรือยี่ห้อ เพราะไม่สามารถแสวงหาความมั่นคงจากภายในได้

    การแสวงหาสันติภาพภายใน ให้คุณธรรมชนะความเห็นแก่ตัว จะช่วยให้สังคมเข้มแข็งขึ้น ข้อ ๑ และข้อ ๒ เป็นเรื่องปัจจัยภายนอก ส่วนข้อ ๓ และ ๔ เป็นเรื่องปัจจัยภายใน ซึ่งต้องทำควบคุมคู่กันไปทั้งในระดับสังคมและระดับปัจเจกบุคคล

    ลงท้าย

    ในพระไตรปิฎก มีการกล่าวถึงธรรมาธรรมะสงครามระหว่างเทพกับอสูร ฝ่ายแรกเชิดชูเมตตาธรรม ฝ่ายหลังเป็นตัวแทนของโทสะ ในที่สุดลงเอยด่วยชัยชนะของเมตตาธรรม แต่ในปัจจุบัน ธรรมาธรรมะสงครามเป็นเรื่องของการต่อสู้ระหว่างโลภะอันมาพร้อมกับพลังทางเศรษฐกิจ กับสันโดษอันมีชุมชนและสังคมเป็นฐานที่มั่นคง ตราบใดที่ฝ่ายแรกเป็นผู้มีชัยชนะ สันติภาพทั้งในใจและในสังคม จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้ จนกว่าสังคมจะควบคุมเศรษฐกิจให้กอปรด้วยคุณธรรมได้ สงความครั้งนี้จะลงเอยอย่างไรขึ้นอยู่กับพวกเราและอนุชนรุ่นหลัง ขอให้ “สวนสันติภาพ” ไม่เพียงเป็นอนุสรณ์ของสันติภาพที่ประกาศโดยท่านปรีดี พนมยงค์ ซึ่งจะมีอายุครบหนึ่งศตวรรษใน ๒ ปีหน้าเท่านั้น หากยังเป็นส่วนหนึ่งของการสานสันติภาพในใจเราและในสังคมของเรา โดยการเอื้อเฟื้อผู้คนให้มาพบปะและร่วมมือกัน เพื่อสร้างประชาสังคมให้เข้มแข็งยิ่งๆขึ้นไปในศตวรรษที่กำลังจะมาถึง
    :- https://www.visalo.org/article/paja254111.htm
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    55,030
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,068
    paragraph_161.jpg
    ผู้นำกลางทะเลทราย

    นิทานธรรม ฉบับพิเศษ
    จัดพิมพ์โดย ธรรมสภา

    ในเมืองพาราณสี แคว้นกาสี มีพระราชาชื่อพรหมทัต พระองค์ทรงส่งเสริมการค้าขายต่างแดน ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเราเกิดในตระกูลพ่อค้า ได้นำกองเกวียน 500 เล่ม บรรทุกสินค้าไปขายต่างเมืองเป็นประจำทุกปี

    ปีหนึ่ง พ่อค้าหนุ่มคิดจะนำสินค้าไปขายยังแดนไกล ซึ่งที่ที่จะไปนั้นต้องเดินทางผ่านทะเลทรายที่กว้างยาวถึง 60 โยชน์ (960 กิโลเมตร) (1 โยชน์เท่ากับ 16 กิโลเมตร)

    ในทะเลทรายนั้นมีทรายละเอียดเต็มไปหมด ทรายดังกล่าวละเอียดมากถึงขั้นที่ว่า เมื่อกอบขึ้นมาแล้วก็จะไหลลงหมดไม่ค้างอยู่ในมือ สภาพบรรยากาศทั่วไปตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจะร้อนและร้อนมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งไม่สามารถเดินทางข้ามไปได้ คนหรือกองเกวียนจะเดินทางผ่านทะเลทรายนั้นจะไปได้เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น
    พอรุ่งเช้าก็ต้องหยุดเดินทาง นำเกวียนมาล้อมเป็นวงแล้วทำปะรำขึ้นบังกองเกวียน จากนั้นก็จะรีบปรุงอาหารบริโภค เสร็จแล้วก็จะนั่งรอให้หมดวันอยู่ใต้ปะรำ ครั้นเวลาเย็นพอพระอาทิตย์ตกดิน ทะเลทรายเริ่มเย็นก็จะรีบปรุงอาหารบริโภค และเมื่อทรายเย็นดีแล้วก็จะเริ่มขับเกวียนออกเดินทาง การเดินทางในทะเลทรายก็เหมือนกับการเดินทางทางทะเล คือ ต้องการผู้นำทาง และผู้นำทางทางทะเลทรายนั้นจะอาศัยดวงดาวเป็นตัวกำหนดนำในการเดินทาง

    พ่อค้าหนุ่มคิดถึงปัญหาดังกล่าว จึงหาผู้ที่มีความรู้เรื่องการเดินทางในทะเลทรายมาเป็นผู้นำทาง ทั้งพ่อค้าหนุ่มและผู้นำทางต่างปรึกษากันอยู่ตลอดระยะเวลาการเดินทาง และเมื่อมาถึงทะเลทรายก็ออกเดินทางตามแผนที่กำหนดไว้คือ ออกเดินทางในเวลากลางคืน และหยุดพักในเวลากลางวัน พ่อค้าหนุ่มและผู้นำทางพากองเกวียน 500 เล่มเดินทางไปได้ไกลถึง 59 โยชน์แล้ว และเหลืออีกเพียง 1 โยชน์ก็จะพ้นทะเลทราย

    “ระยะทางเหลืออีก 1 โยชน์ เราจะใช้เวลาเดินทางนานเท่าไร” พ่อค้าหนุ่มถาม

    “คืนนี้คืนเดียวก็คงจะพ้นแล้ว” ผู้นำทางตอบ

    “ไม่ต้องรีบร้อนหรอก พวกเราเหนื่อยกันมามากแล้ว คืนนี้ขอให้เดินทางกันแบบสบายๆ”

    เมื่อตกลงกันได้ดังนั้น ครั้นถึงเวลาเย็น หลังจากปรุงอาหารเย็นบริโภคแล้ว พ่อค้าหนุ่มก็สั่งให้ทิ้งสัมภาระที่พอจะทิ้งได้ ซึ่งไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้อีกต่อไป เช่นน้ำและฟืนเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะพ้นจากทะเลทรายแล้ว พวกบริวารพากันดีใจทิ้งฟืนและน้ำตามคำสั่ง เนื่องจากจะทำให้เกวียนเบาและเดินทางได้เร็วขึ้น

    ผู้นำทางซึ่งจะประจำอยู่ที่เกวียนเล่มหน้า รู้สึกสบายใจที่อีกไม่นานเกวียนก็จะพ้นจากทะเลทรายแล้ว ตนก็จะได้พ้นจากภาระหนักคือการนั่งดูดวงดาวแล้วกำหนดเส้นทาง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น คนขับเกวียนเล่มหลังๆ ยังหลับได้บ้าง แต่ผู้นำทางหลับไม่ได้เลย เขาต้องคอยดูดวงดาวและบังคับเกวียนให้เดินทางไปตามทาง เพราะหากผิดเส้นทางแล้ว เกวียนก็จะวนกลับมาที่เก่า หรือไม่ก็วนเวียนอยู่ในทะเลทรายนั่นเอง

    ด้วยความสบายใจที่จะพ้นภาระหนัก ผู้นำทางจึงขับเกวียนนำไปอย่างไม่รีบร้อน เขานั่งได้สักพักหนึ่ง รู้สึกเมื่อยจึงล้มตัวลงนอนมองดูดวงดาว พลางร้องบอกให้เกวียนเล่มหลังๆ ขับตามมา เขาเหนื่อยอ่อนมากหลายคืน ดังนั้นเมื่อล้มตัวลงนอน จึงหลับไปโดยไม่รู้ตัว
    “เอ๊ะ..... ทำไมเสียงเงียบหายไป”

    คนขับเกวียนเล่มหลังๆ สงสัย แต่ก็ไม่มีใครคิดอะไรมาก คงขับเกวียนไปตามเกวียมเล่มแรก วัวลากเกวียนไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ไปตามทางที่ผู้นำทางกำหนด แต่กลับลากเกวียนออกนอกเส้นทางวกกลับหลังไปตามทางที่เพิ่งผ่านมา

    “เอ๊ะ..... ทำไมมันนานนักเล่า” คนขับเกวียนเล่มหลังๆ ชักสงสัย เพราะใกล้สว่างแล้ว แต่ยังไม่เห็นจุดหมายปลายทางนอกจากทะเลทรายที่เวิ้งวาง

    “หรือมาผิดทาง” พ่อค้าหนุ่มก็สงสัยเช่นเดียวกัน

    วัวยังลากเกวียนไปเรื่อยๆ ผู้นำทางหลังจากหลับเต็มที่แล้วมาสะดุ้งตื่นเอาเวลาเช้า แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า เขาแหงนดูดวงดาวก็รู้ได้ทันทีว่ามาผิดทาง

    “กลับเกวียน..... กลับเกวียน” เขาลุกขึ้นยืนร้องบอกเสียงดังพร้อมทั้งโบกมือให้สัญญาณกลับเกวียน

    ฝ่ายพ่อค้าหนุ่มและคนขับเกวียนต่างก็ลุกขึ้นร้องบอก และโบกมือให้สัญญาณเกวียนเล่มหลังๆ เช่นเดียวกัน ขบวนเกวียนย้อนกลับหลังอีก แต่ก็ไปไม่พ้นทะเลทรายเสียแล้ว เพราะพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าเสียก่อน

    ทะเลทรายเริ่มร้อน พ่อค้าหนุ่มจึงสั่งให้หยุดเกวียนแล้วนำมาล้อมเป็นวงเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ หลังจากทำปะรำบังแสงแดดแล้ว ทุกคนก็หลบเข้ามานั่งพักผ่อนอยู่ใต้ท้องเกวียนโดยมิได้กินอาหารเช้า เนื่องจากทิ้งน้ำและฟืนไปหมดแล้วไม่มีอะไรใช้ปรุงอาหาร

    “ตายแน่พวกเราคราวนี้” ทุกคนคร่ำครวญอย่างท้อแท้

    พ่อค้าหนุ่มเห็นบริวารคร่ำครวญแล้วให้รู้สึกสงสาร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะเกรงว่าจะไปกระทบผู้นำทางเข้า จึงได้แต่คิดหาวิธีช่วยเหลือ

    “ทุกคนท้อแท้กันหมดแล้ว หากเราท้อแท้อีกคนหนึ่ง ก็จะพากันตายหมด”

    เช้านั้นเอง ขณะที่แดดยังไม่ร้อนจัด พ่อค้าหนุ่มก็ออกเดินทางหาแหล่งน้ำ จนกระทั่งไปพบกอหญ้าคากอใหญ่กองหนึ่งจึงคิดได้ว่า

    “ในทะเลทรายที่แห้งแล้งเช่นนี้ มีหญ้างอกขึ้นได้ แสดงว่าข้างใต้หญ้าคาลงไปจะต้องมีน้ำหล่อเลี้ยง”

    ครั้นแล้วเขาจึงสั่งให้คนเอาจอบมาขุดที่ตรงนั้นลึกลงไปได้ 60 ศอก ขณะที่ขุดลึกลงไปได้ขนาดนั้นผลปรากฏว่าจอบกระทบถูกหินข้างใต้ ทุกคนเริ่มท้อถอยเพราะแผ่นหินแข็งมากจนในที่สุดก็ถึงกับทิ้งจอบยืนมองหน้ากัน
    “เวรกรรมแท้ๆ” มีเสียงบ่นดังขึ้น
    พ่อค้าหนุ่มกลับไม่ท้อแท้เหมือนคนอื่นๆ เขาเชื่อมั่นว่าใต้หินแผ่นนี้จะต้องมีน้ำ จึงค่อยๆ ไต่ลงไปยืนอยู่บนหินแล้วคุกเข่าแนบหูลงฟังเสียง ผลปรากฏว่าเขาได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ข้างใต้ ด้วยความดีใจจึงรีบขึ้นมาบอกคนใช้ให้เอาฆ้อนเหล็กไปทุบแผ่นหิน

    “จะได้ผลหรือนาย” คนใช้ถามด้วยความไม่เชื่อมั่น

    “เอาเถอะ..... ทำไปก่อน” พ่อค้าหนุ่มตัดบท

    “เห็นไหมทุกคนท้อถอยกันหมดแล้ว หากเจ้าท้อถอยอีกคนหนึ่ง พวกเราก็จะพากันตายหมด เชื่อข้าเถอะข้างใต้แผ่นหินมีน้ำ เมื่อทำลายแผ่นหินได้เราก็จะได้น้ำกินน้ำใช้”

    “ตกลงนาย” คนใช้ตอบตกลง พลางถือฆ้อนเหล็กลงไปในหลุม

    เขาทุบอยู่ 2-3 ครั้ง แผ่นหินแตกกลาง ทันใดนั้นเองสายน้ำใหญ่เท่าลำตาลก็พุ่งขึ้น ทุกคนดีใจรีบมาดื่มมาอาบกันอย่างสดชื่น จากนั้นก็ปรุงอาหารบริโภคกันอย่างมีความสุข รวมทั้งวัวก็อิ่มหมีพีมันไปด้วย ครั้นถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดินบรรยากาศทั่วไปเริ่มเยือกเย็น พื้นทรายไม่ร้อน พ่อค้าหนุ่มก็นำกองเกวียนออกเดินทางไปตามทางที่ผู้นำทางกำหนด

    ผู้นำทางไม่ยอมเผลอหลับอีก ในที่สุดกองเวียนทั้ง 500 เล่ม ก็ข้ามพ้นทะเลทรายและไปถึงที่ขายสินค้าตามที่พ่อค้าหนุ่มกำหนดไว้เป็นจุดหมายปลายทาง

    พ่อค้าหนุ่มเดินทางไปค้าขายครั้งนี้ประสบผลสำเร็จเกินคาด ขายสินค้าได้กำไรถึง 3—4 เท่า ซึ่งนับว่าเป็นรางวัลที่คุ้มค่าความเหนื่อยยาก จากนั้นก็นำกองเกวียนกลับบ้านเกิดโดยเดินทางผ่านทะเลทรายอีกครั้งหนึ่ง

    นิทานธรรมเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความท้อแท้เป็นภัยใหญ่สำหรับผู้ที่ต้องการความสำเร็จ เมื่อไม่ท้อแท้ความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ดังเช่นพ่อค้าหนุ่ม
    ........................ เอวั
    ง ........................
    :- http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=937
     

แชร์หน้านี้

Loading...