บทความให้กำลังใจ(รวยให้เป็น)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    ปัญญาเป็นอีกสิ่งที่ทำให้เราสามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี ไม่ว่าจะเจ็บป่วย พิการ เกิดปัญหาทำให้การงานไม่สำเร็จ หากมีสติและปัญญาก็เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเกิดเมื่อทุกอย่างพร้อม เราอาจขาดแคลนเงิน ทุนไม่พอ คนก็น้อย แต่เราสามารถทำให้ชีวิตมีความสุข งานสำเร็จได้ เหมือนแม่ครัวที่ฉลาดและมีฝีมือ แม้เครื่องครัวไม่พร้อม วัตถุดิบก็ขาดแคลน แต่ก็สามารถปรุงอาหารได้เอร็ดอร่อย ตรงข้ามกับบางคนมีทุกอย่างพร้อมมูล แต่ปรุงอาหารไม่อร่อยเลย คนที่มีต้นทุนน้อย แต่ไม่บ่น ไม่ตีโพยตีพาย หากพยายามใช้สติ ใช้ปัญญา มีความเพียร สามารถใช้สิ่งที่มีน้อยนิดให้เกิดความสำเร็จ เกิดผลที่พึงปรารถนาได้ นักเล่นไพ่บางคนจั่วได้ไพ่ไม่ดีเลย ตัวเลขต่ำๆ ทั้งนั้น แต่สามารถเอาชนะได้ นั่นเป็นเพราะเขาไม่มัวบ่นที่ได้ไพ่แบบนั้น แต่เขาตั้งสติ ใช้ปัญญา เพื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่อย่างเต็มที่ อาจจะบลั๊ฟหรือเกทับก็แล้วแต่ จนคนอื่นยอมแพ้ทั้ง ๆ ที่มีไพ่ในมือดีกว่าเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา แต่ถ้าเรามีสติ ใช้ปัญญาก็สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ อย่าให้เหตุการณ์เฉพาะหน้าพาเราเข้ารกเข้าพง พยายามใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    สุขทุกที

    ชีวิตของเรานั้นมีอิสระและไม่จำต้องถูกกำหนดด้วยเหตุการณ์เสมอไป อย่าคิดว่าเราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อทุกอย่างพร้อม อย่าคิดว่า เราจะมีสุขเมื่อสุขภาพดี มีเงินทองพรั่งพร้อมเหลือเฟือ มีเจ้านายน่ารัก มีเพื่อนร่วมงานดี แม้บางครั้งเรามีสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ต้นทุนต่ำ แต่เราอาจนำชีวิตไปสู่ความสำเร็จได้ นี้เป็นสิ่งที่เราเลือกได้ อย่าให้เหตุปัจจัยแวดล้อมมากำหนดชีวิตเรา คนอื่นเขาพูดกับเราอย่างไร เราก็เป็นสุขได้โดยไม่ต้องรอให้เขาพูดดีๆ ผู้คนมักจะคาดหวังให้คนอื่นเข้ามาทำดีกับเรา แล้วเราจึงมีความสุข เวลาทำบุญก็อยากให้มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับตัวเรา ขอให้ร่ำรวย มีงานดี ครอบครัวอบอุ่น เพราะคิดว่าต่อเมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจึงจะมีความสุข การคิดเช่นนี้แสดงว่าเราเอาชีวิตและความสุขไปผูกติดกับสิ่งภายนอก เรายอมให้สิ่งอื่นภายนอกมากำหนดตัวเรา เราจะสุขก็ต่อเมื่อทุกอย่างราบรื่น แต่พุทธศาสนามองว่า แม้ทุกอย่างไม่เป็นใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับชีวิต เราก็เป็นสุขได้ นี้เป็นอิสรภาพที่เราทุกคนมีเท่ากัน เราสามารถเสกสรรค์ เนรมิต ให้ชีวิตของเราเจริญงอกงามได้ ตัวชี้ขาดคือสติและปัญญา อย่าปล่อยให้สิ่งต่างๆ ขับไสไล่ส่งให้เราเป็นทุกข์ ได้ยินเสียงดังก็ไม่ต้องหงุดหงิด ได้ยินคำต่อว่าด่าทอ ก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ เราสามารถรักษาใจให้ปกติได้

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร เป็นพระที่มีอายุยืนมากถึง 101 ปี มรณภาพเมื่อ ๒๐ ปีมาแล้ว มีเรื่องเล่าว่าคราวหนึ่งท่านรับนิมนต์ไปฉันเพลที่บ้านโยมที่กรุงเทพ เมื่อฉันเสร็จท่านก็จะกลับวัดที่สิงห์บุรี แต่โยมอยากให้ท่านพักก่อนเพราะท่านอายุมากแล้ว จึงนิมนต์ให้ท่านจำวัดสักพัก โดยมีลูกศิษย์ 4-5 คน นั่งเป็นเพื่อนในห้องที่จัดไว้ให้ บังเอิญห้องนั้นติดกับร้านขายของชำ เจ้าของร้านเป็นคนจีนใส่เกี๊ยะไม้ เวลาเดินขึ้นลงบันไดจึงเกิดเสียงดังเข้ามาในห้อง ลูกศิษย์ได้ยินก็บ่นขึ้นมาว่า เดินไม่เกรงใจกันเลย หลวงปู่แม้นอนอยู่แต่ไม่ได้หลับ จึงพูดเปรยขึ้นว่า “ เขาเดินของเขาอยู่ดีๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะของเขาเอง”
    เสียงดังก็จริง แต่เราไม่จำเป็นต้องทุกข์ก็ได้ เขาเดินเสียงดังถ้าเราไม่เอาหูไปรองเกี๊ยะของเขา เราก็ไม่ทุกข์ เราเลือกได้ว่าจะเอาหูไปรองเกี๊ยะหรือไม่ สุขหรือทุกข์เป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของการวางใจ ถ้าวางใจเป็นก็ไม่ทุกข์

    เลือกได้เพราะวางใจเป็น

    หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร เป็นผู้บุกเบิกวัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง ซึ่งเดิมเป็นวัดร้าง สมัยก่อนที่นั่นมีนักเลงคุมอยู่และคงอยากจะฮุบที่วัด คนเหล่านี้จึงกลั่นแกล้งพระและแม่ชีต่างๆ นานา บางครั้งพระบิณฑบาตเขาก็แกล้งมาเดินชนจนบาตรกระเด็น พระตกคูน้ำก็มี ทั้งนี้เพราะไม่อยากให้พระมาอยู่วัด อยากให้เป็นวัดร้างต่อไป หลวงพ่อประสิทธิ์เคยคิดจะย้ายไปที่อื่น แต่ท่านเห็นว่าถ้าท่านอยู่ก็ช่วยคนได้เยอะท่านจึงไม่หวั่นไหว วันหนึ่งท่านเดินผ่านบ้านของนักเลงหัวไม้คนหนึ่ง นักเลงคนนั้นพอเห็นท่าน ก็ด่าว่าท่านด้วยถ้อยคำรุนแรง แทนที่ท่านจะโกรธหรือเอาหูทวนลม ท่านกลับเดินเข้าไปหานักเลงหัวไม้คนนั้น จับแขนเขย่าแล้วถามว่า “มึงด่าใครๆ ” นักเลงหัวไม้คนนั้นตอบว่า “ก็ด่ามึงน่ะสิ” ท่านยิ้มแล้วบอกว่า “เออ แล้วไป ที่แท้ก็ด่ามึง อย่าด่ากูแล้วกัน”

    ท่านไม่ทุกข์เพราะท่านไม่ได้เอา’ตัวกู’ ไปรับคำด่า นี่เป็นการใช้ปัญญา เราเลือกได้ว่าจะโกรธหรือไม่โกรธ เราเลือกได้เพราะวางใจเป็น ถ้าเอาอัตตาเข้าไปรับ “ตัวกู”ก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดา แต่ถ้าเอาปัญญาออกหน้าก็ไม่ทุกข์หากวางใจเป็น ทำใจให้เหมือนอากาศธาตุ ไร้ตัวตน เวลามีใครเอาแขนมาฟาด มาเตะต่อย ก็ไม่เป็นไร แต่การจะทำใจให้เหมือนอากาศธาตุ ไร้ตัวตน ก็ต้องมีสติเป็นเบื้องต้น ถ้าไม่มีสติ จิตก็ปรุงตัวตนขึ้นมารองรับการกระทำเหล่านั้น ทำให้ “กู”รู้สึกเจ็บปวด ถ้ามีสติ หรือมีปัญญา ไม่ปรุงแต่งตัวตนขึ้นมา ก็ไม่มี “กู” ผู้เจ็บ ขอให้เราตระหนักว่าไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม เรามีอิสระที่จะไม่ทุกข์ ทำงานได้อย่างเป็นสุข แม้ว่าสภาพรอบตัวไม่เป็นใจก็ตาม

    รู้เฉยๆ

    สติและปัญญา จะบอกเราว่า กำลังไปสู่ความทุกข์ หรือ ไม่ทุกข์ เมื่อรู้ทันอารมณ์ที่เกิดในใจ เราก็เลือกได้เสมอว่าจะเดินไปหาทุกข์ หรือความไม่ทุกข์ บางครั้งยังไม่ต้องทำอะไรมาก แค่รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นก็ช่วยได้เยอะแล้ว เพียงแค่รู้เฉยๆ เห็นเฉยๆ ก็พอแล้ว แต่บางคนพยายามกดข่มอารมณ์เอาไว้ เคยมีคนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ซึ่งศิษย์รุ่นแรกๆ ของหลวงปู่มั่น ว่า “หลวงปู่ ทำอย่างไรจึงจะตัดความโกรธให้ขาด” ท่านตอบว่า “ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทัน เมื่อรู้ทันมันก็จะดับไปเอง” การตัดหรือกดข่มความโกรธ ทำไม่สำเร็จหรอกนะ ต้องรู้ทันมัน มันก็จะดับไป การที่ความโกรธเกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเราเผลอ ลืมตัว แต่ทันทีที่มีสติ รู้ตัว รู้ตัว ความโกรธก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ลืมตัวหรือหลงเมื่อไรใจเป็นต้องปรุงแต่งเป็นตัวกูของกูขึ้น หรือเผลอให้อารมณ์ครอบงำใจ เมื่อมีสติ ความหลงหาย ความโกรธก็ดับเหมือนไฟหมดเชื้อ การกดข่มอารมณ์เหมือนกับการเติมฟืน เติมเชื้อ ยิ่งลุก ยิ่งไหม้ การรู้ทัน การเห็นอารมณ์มีอานุภาพมากนะ

    มีนักศึกษาคนหนึ่งเรียนมาทางด้านสังคมสงเคราะห์ ปีสุดท้ายต้องไปฝึกงาน เขาอยากฝึกงานกับเอ็นจีโอที่ทำงานกับชาวบ้านในภาคอิสาน แต่อาจารย์อยากให้ไปฝึกงานกับหน่วยงานราชการในภาคเหนือ จึงเจรจาต่อรองกันสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าไปฝึกงานกับองค์กรที่ทำงานกับชาวเขาในภาคเหนือ ทีแรกเขาคิดว่าจะได้ไปทำงานกับหน่วยงานเอ็นจีโอ แต่พอไปถึงเชียงใหม่ กลับถูกมอบหมายให้ฝึกงานกับกรมประชาสงเคราะห์ เขาไม่พอใจมากที่อาจารย์ทำอย่างนี้ เขารู้สึกขุ่นเคืองตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นอาจารย์ที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งมาเยี่ยม เขาจึงต่อว่าอาจารย์ยาวเหยียด อาจารย์ก็นั่งฟัง ช่วงหนึ่งอาจารย์ก็ทักขึ้นมาว่า “คิ้วของเธอผูกเป็นโบว์เลยนะ” ทันทีที่ได้ยินอาจารย์พูดเช่นนั้น เขาก็ได้สติ พอรู้ว่าตัวเองกำลังโกรธ เห็นความโกรธของตน ความโกรธก็หายไปเลย รู้สึกเบาลงมาก เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าสติมีอานุภาพมาก

    นักศึกษาคนนี้หายโกรธเพราะอาจารย์ทัก แต่ถ้าเรารอให้คนอื่นมาทักถึงจะรู้ตัว ก็คงไม่ทันการณ์ เราจึงควรรู้จักทักตัวเอง ด้วยการหมั่นตามดู รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น อย่าปล่อยให้มันเล่นงานเราจนหมดเนื้อหมดตัว อารมณ์ใด ๆ ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเรามีสติหรือรู้ตัว อารมณ์ต่าง ๆ เช่น ความโกรธ ความเศร้า ความเสียใจ มีพลังมากถ้าเราไม่รู้ทัน และเพราะมันมีพลังมากนี้แหละการกดข่มมันจึงเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเรารู้ทันมัน มันก็จะดับไปเองเพราะไม่มีเชื้อคือความหลงมาเติมพลังให้มัน

    สงบเพราะรู้

    ความสงบมี 2 แบบ คือ สงบแบบไม่รับรู้ ปิดหูปิดตา หลายคนพบว่าบ้านวุ่นวายก็หนีไปอยู่ที่วัด หรือเก็บตัวอยู่ในห้องพระ ปิดโทรทัศน์-วิทยุ จิตก็เลยสงบ สงบแบบนี้เพราะตัดการรับรู้ แต่การเจริญสติ ทำให้เราสงบเพราะรู้ รู้ทันอารมณ์ เสียงดัง ใจหงุดหงิด รู้ทัน รู้แล้ววาง คนด่าว่า รู้สึกโมโห พอรู้ทัน ก็วางมันลง อย่างนี้เรียกว่าสงบเพราะรู้ ความสงบชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกที่ แม้อยู่ท่ามกลางผู้คน อยู่กลางถนนก็สงบได้

    การรู้ทันอารมณ์เราเรียกว่า สติ แต่การรู้ธรรมชาติความเป็นจริงของสรรพสิ่งเราเรียกว่า ปัญญา เช่นการรู้ว่าความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา คนที่เป็นมะเร็ง เมื่อตระหนักว่าความเจ็บป่วยเป็นธรรมดาของชีวิต ก็ยอมรับมันได้ ใจสงบ ไม่เอะอะโวยวาย หรือก่นด่าชะตากรรม อย่างนี้เรียกว่าเป็นการรู้ด้วยปัญญา แต่ไม่ว่า รู้ด้วยสติ หรือรู้ด้วยปัญญาก็ทำให้เราสงบได้ทั้งนั้น เราควรทำความรู้จักความสงบชนิดนี้ด้วย อย่าแสวงหาความสงบด้วยการตัดการรับรู้ ปิดหูปิดตา หรือหนีปัญหาอย่างเดียว

    การเจริญสมาธิเป็นการหนีความวุ่นวายเพื่อเข้าหาความสงบแบบหนึ่ง บางคนรู้สึกว่าจิตฟุ้งซ่าน ทนไม่ไหว จึงบังคับจิตให้เพ่งอยู่กับลมหายใจ มือ เท้า หรือคำบริกรรม เพื่อไม่ให้จิตรับรู้สิ่งอื่น วิธีนี้ก็ทำให้จิตสงบได้ แต่เมื่อทำไปนานๆ อาจจะเครียด การปฏิบัติตามแนวทางหลวงพ่อเทียนนั้นไม่ได้เพ่งอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ไม่เน้นเรื่องความสงบ จิตยังสามารถรับรู้อารมณ์ แต่ไม่ถูกอารมณ์ครอบงำ เมื่อเห็นอารมณ์ก็สลัดได้ นี้เรียกว่าสงบเพราะรู้ ถ้ารู้ก็สงบได้ เดินบนกรวด แม้เจ็บปวด ใจก็สงบได้
    :- https://visalo.org/article/D_dhamBumbud15_1.htm
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ชีวิตที่ขาดมะนาวไม่ได้
    รินใจ
    เช้าวันนี้ แทนที่อาจารย์จะเริ่มต้นด้วยการบรรยายวิชาปรัชญา กลับยกลังใบหนึ่งมาตั้งไว้บนโต๊ะหน้าชั้น แล้วหยิบขวดโหลใบใหญ่ที่ว่างเปล่าออกมา จากนั้นก็เอาลูกมะนาวมาใส่ทีละลูกจนเต็ม อาจารย์ถามว่าขวดโหลเต็มแล้วยัง นักศึกษาพยักหน้า
    แล้วอาจารย์ก็เอากรวดเทลงไปในขวดโหลพร้อมกับเขย่า จนกรวดเข้าไปอัดเต็มช่องว่างระหว่างลูกมะนาว อาจารย์ถามอีกว่าขวดโหลเต็มแล้วยัง นักศึกษาตอบว่าเต็มแล้ว

    ทีนี้อาจารย์ก็เททรายใส่ลงไปในขวดโหลจนเต็ม อาจารย์ถามเช่นเคยว่าขวดโหลเต็มแล้วใช่ไหม นักศึกษาตอบว่าใช่ แต่ในใจยังงงอยู่ว่าอาจารย์ต้องการบอกอะไร
    อาจารย์รู้ว่านักศึกษากำลังคิดอะไรอยู่ แต่แทนที่จะเฉลย กลับคว่ำขวดโหลลงในลัง จนทุกอย่างไหลออกมาหมด เมื่อขวดโหลว่างเปล่าแล้ว ทีนี้อาจารย์ก็เททรายใส่เข้าไปจนเต็มอีกครั้งหนึ่ง แล้วชูขวดขึ้นถามนักศึกษาว่า “มีใครบ้างที่สามารถใส่มะนาวหรือก้อนกรวดลงไปในขวดโหลใบนี้ได้บ้าง ?” นักศึกษาทุกคนล้วนส่ายหัว

    ทีนี้อาจารย์ก็เฉลยว่า “ขวดโหลใบนี้ก็เปรียบเสมือนชีวิตของเรา ลูกมะนาวหมายถึงสิ่งที่มีความสำคัญในชีวิต ได้แก่ ครอบครัว มิตรสหาย คุณงามความดี สุขภาพ ความสุขใจ รวมถึงสิ่งสูงสุดที่เรานับถือ คนเราแม้ว่าจะมีสิ่งอื่นมากมาย แต่ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว ชีวิตก็ว่างเปล่า ไร้ความหมาย หาความสุขไม่ได้

    “ส่วนกรวดหมายถึงสิ่งสำคัญรองลงมา ที่ช่วยให้ดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น วิชาความรู้ อาชีพการงาน เงิน บ้าน รถยนต์ ส่วนทรายก็คือ ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน รวมทั้งสิ่งละอันพันละน้อยในชีวิต ที่แม้จะเพิ่มสีสันให้กับชีวิต แต่ถึงขาดไปก็ไม่ทำให้ชีวิตเป็นทุกข์”
    อาจารย์อธิบายต่อ “ขวดโหลใบนี้จะจุลูกมะนาว ก้อนกรวด และทราย ได้ครบหมดก็ต่อเมื่อเราใส่ลูกมะนาวก่อน ตามด้วยก้อนกรวด และทรายเป็นอันดับสุดท้าย ฉันใดก็ฉันนั้น ชีวิตของเราจะครบถ้วนสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อให้เวลากับสิ่งสำคัญก่อน เช่น มีเวลาให้กับครอบครัว ใส่ใจมิตรสหาย เอื้อเฟื้อผู้อื่น ดูแลรักษาสุขภาพทั้งกายและใจ รวมทั้งมีสิ่งดีงามเป็นที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ ลำดับต่อมาคือการให้เวลากับอาชีพการงาน ศึกษาหาความรู้ สะสมทรัพย์สมบัติ เวลาที่เหลือนอกนั้นก็เป็นเรื่องของการเที่ยวเตร่ หาความสนุกสนาน เช่น ดูหนัง ช็อปปิ้ง เป็นต้น”

    พูดจบอาจารย์ก็ถามนักศึกษาว่า “ แต่ถ้าเราให้เวลากับการเที่ยวเตร่สนุกสนานก่อน หรือเอาอาชีพการงานและการแสวงหาทรัพย์สมบัติขึ้นมาเป็นอันดับแรกของชีวิต อะไรจะเกิดขึ้นกับสิ่งสำคัญของชีวิต? ลูกมะนาวจะอยู่ที่ไหน ถ้าเราใส่ทรายหรือกรวดเข้าไปในขวดโหลก่อน ?”

    นิทานเรื่องนี้คงไม่มีประโยชน์หากเรามีเวลาอยู่ในโลกนี้อย่างไม่มีขีดจำกัด แต่ความจริงก็คือเราทุกคนมีเวลาและพลังงานอย่างจำกัด ดังนั้นการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตจึงเป็นเรื่องจำเป็น ปัญหาของผู้คนเวลานี้ก็คือไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องนี้เท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หลงเข้าใจไปว่าชีวิตนี้มีแต่ทรายและก้อนกรวดเท่านั้น ลืมไปว่ายังมีลูกมะนาวที่เราต้องใส่ใจด้วย

    หลายคนแม้จะรู้ว่าชีวิตนี้ขาดลูกมะนาวไม่ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเวลาที่จะหาลูกมะนาวมาบรรจุไว้ในชีวิต ทั้งนี้ก็เพราะคอยผัดผ่อนอยู่เรื่อย เรื่องเกี่ยวกับครอบครัว สุขภาพกาย สุขภาพใจ มักจะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ในขณะที่อาชีพการงานนั้นมักจะมี “เส้นตาย” ที่ต้องเร่งทำให้เสร็จ ส่วนบ้านและรถยนต์ก็เต็มไปด้วยเรื่องจุกจิกที่ต้องรีบจัดการภายในเร็ววัน จริงอยู่การเที่ยวเตร่และช็อปปิ้งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน แต่ก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจกว่าการออกกำลังกายหรือทำสมาธิ แถมถูกทำให้เป็นเรื่องที่ต้องเร่งตัดสินใจ (เพราะ “ลดกระหน่ำ”เพียงแค่อาทิตย์นี้เท่านั้น) ผลก็คือไม่มีเวลาเหลือสำหรับสิ่งที่สำคัญในชีวิต

    ไม่มีอะไรยากเท่ากับการจัดการตนเอง แต่ก็ไม่มีอะไรเหลือวิสัยหากมีความมุ่งมั่นและการวางแผนที่ดี เริ่มต้นด้วยการวางแผนชีวิตวันนี้ให้มีมะนาวด้วย ไม่ใช่มีแค่กรวดกับทรายเท่านั้น ถ้าจะให้ดีควรเอาตารางประจำวันออกมากาง แล้วใส่มะนาวไปก่อน จากนั้นจึงค่อยเติมกรวดและทรายลงไป เมื่อวางแผนประจำวันเสร็จแล้ว ก็วางแผนให้ครอบคลุมทั้งอาทิตย์ และตลอดเดือน โดยเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ ควรเติมมะนาวลงไปมาก ๆ

    ข้อสำคัญก็คืออย่ารอพรุ่งนี้ เดือนหน้า หรือปีหน้า เพราะถึงตอนนั้นอาจจะลืมหรือหมดโอกาสที่จะทำ ถ้าไม่เริ่มต้นเสียแต่วันนี้ พรุ่งนี้อาจสายไปแล้วก็ได้
    :- https://visalo.org/article/kidFamily254805.htm


     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ชีวิตใหม่
    รินใจ
    มารคมีธุระด่วนต้องเดินทางจากเชียงใหม่ลงมากรุงเทพ ฯ เผอิญเพื่อนสนิทซึ่งมีเครื่องบินส่วนตัวก็กำลังจะลงมากรุงเทพ ฯ เช่นกัน จึงชวนมารคนั่งเครื่องบินลงมาด้วยกัน

    เครื่องบินเล็กทะยานขึ้นฟ้าได้ไม่ถึงสิบนาที เครื่องก็ดับ เพื่อนซึ่งเป็นนักบินพยายามสตาร์ตเท่าไรก็ไม่ติด ชั่วขณะนั้นเองมารคตระหนักว่าวาระสุดท้ายของเขาใกล้มาถึงแล้ว คำถามตอนนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาและเพื่อนจะรอดหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าทำอย่างไรผู้คนข้างล่างจะไม่พลอยรับเคราะห์ไปพร้อมกับทั้งสองคนด้วย

    เมื่อรู้ว่าตัวเองคงไม่รอดแน่แล้ว มารคทำใจยอมรับความตายโดยดุษณี เขาแปลกใจที่พบว่าจิตใจสงบนิ่งมาก ไม่มีความทุรนทุรายกระสับกระส่ายแต่อย่างใด ในภาวะนั้นเขารู้สึกดื่มด่ำเป็นอย่างยิ่งกับธรรมชาติรอบตัวและภูมิประเทศเบื้องล่าง ไม่ว่าทะเลเมฆสีขาวนวล เวิ้งฟ้าสีคราม และทิวเขาเขียวครึ้มข้างล่าง ล้วนงดงามตรึงใจ ระหว่างที่เครื่องกำลังร่อนลดระดับลงมาเรื่อย ๆ นั้น รอบตัวไร้สรรพสำเนียงใด ๆ มีแต่ความเงียบสงบ ภาพที่เห็นผ่านกระจกเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ แต่สงบงัน ในห้วงนั้นเขารู้สึกถึงความสงบและเป็นสุขอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน

    ร่วม ๒๐ นาทีที่เขาได้สัมผัสกับความเบาสบายกลางฟ้า และแล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เครื่องยนต์ทำงานอีกครั้ง แต่ก็ดับอีก แล้วก็ติดใหม่ เป็นเช่นนี้ตลอดเวลา นักบินจึงตัดสินใจบังคับเครื่องกลับเชียงใหม่ และแจ้งสนามบินให้เตรียมพร้อม มีการเคลียร์รันเวย์และอพยพผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของผู้คนที่สนามบิน เครื่องค่อย ๆ ร่อนลงอย่างปลอดภัย

    ช่างเครื่องได้ตรวจพบในเวลาต่อมาว่ามีน้ำเข้าไปในตัวเครื่อง เมื่อซ่อมเครื่องเสร็จเรียบร้อย เพื่อนก็ชวนมารคขึ้นเครื่องบินลำเดิมลงมากรุงเทพ ฯ อีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งรอดตายมาอย่างไม่คาดฝัน มารครับคำชวนของเพื่อน คราวนี้ทั้งสองถึงกรุงเทพ ฯ โดยสวัสดิภาพ

    มารครอดตายมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ถ้ามองให้ดีแล้วสิ่งที่น่าอัศจรรย์กว่านั้นก็คือการที่เขารู้สึกเป็นสุขและสงบอย่างยิ่งในยามประจันหน้ากับความตาย คนทั่วไปนั้นรู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องน่ากลัว แต่ประสบการณ์ของมารคชี้ว่าความตายนั้นไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวต่างหากก็คือความกลัวตาย เมื่อความกลัวตายมลายหายไป ความตายแม้จะอยู่ใกล้เพียงใด ก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ ตรงกันข้ามมันกลับทำให้จิตใจเบาสบายเป็นอย่างยิ่งเพราะได้ปล่อยวางทุกอย่าง

    อะไรก็ตามหากเราหลีกหนีไม่ได้ อ้าแขนต้อนรับมันเป็นดีที่สุด เมื่อมารคยอมรับความตายโดยดุษณี ความตายก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป ใช่หรือไม่ว่าสาเหตุที่เรากลัวความตายก็เพราะเรายึดอะไรต่ออะไรอีกมากมาย ในเมื่อไม่อยากสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป เราจึงทำใจไม่ได้ ใจที่ยังยึดไว้ไม่ยอมปล่อยนี้แหละคือปัญหาเพราะมันเป็นแหล่งบ่มเพาะความกลัวซึ่งคอยหลอกหลอนซ้ำเติมและสร้างความทุกข์ให้แก่เรา

    สเตฟานีเป็นอีกคนหนึ่งที่ผ่านความตายมาได้อย่างหวุดหวิด วันนั้นเธอขับรถอยู่บนทางด่วน สักพักก็เห็นรถจอดกันยาวเหยียด จึงต่อท้ายคิว เมื่อเหลือบมองกระจกหลัง ก็เห็นรถคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูง ไม่มีทีท่าว่าชะลอเลยทั้ง ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากรถของเธอ ดูเหมือนคนขับจะใจลอย เธอรู้ทันทีว่ารถของเธอต้องถูกชนอย่างแน่นอน และคงเป็นการปะทะที่รุนแรงเสียด้วย ชั่วขณะนั้นเองเธอตระหนักว่าตัวเองอาจไม่รอด

    วินาทีนั้นเธอก้มลงดูมือทั้งสองซึ่งกำพวงมาลัยไว้แน่น เป็นครั้งแรกที่เธอตระหนักว่าเธอใช้ชีวิตด้วยความเครียดและเกร็งมาโดยตลอด เธอตัดสินใจในตอนนั้นว่า ฉันไม่ต้องการตายแบบนี้ เธอจึงหลับตา หายใจเข้าลึก ๆ และทิ้งมือลงข้างตัว ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามวิถีของมัน เธอยอมรับความตายโดยไม่ขัดขืน และแล้วรถคันหลังก็พุ่งชนรถของเธออย่างรุนแรงและดังสนั่น

    รถของเธอถูกชนจนยับเยิน ส่วนรถคันหลังก็แหลกไม่มีชิ้นดี แต่เธอกลับไม่เป็นอะไร ตำรวจบอกเธอในเวลาต่อมาว่าโชคดีที่เธอปล่อยตัวตามสบาย หากเธอเกร็งตัว มีโอกาสมากที่จะบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิตเพราะแรงกระแทก

    สเตฟานีก้าวออกจากซากรถราวกับเป็นคนใหม่ เธอใช้ชีวิตด้วยความปล่อยวางมากขึ้น ไม่คิดจะควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามใจปรารถนา และยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตได้มากขึ้น จากคนที่กุมชีวิตไว้แน่น บัดนี้เธอเพียงแค่ประคองมันเอาไว้ ราวกับชีวิตคือขนนกที่วางอยู่บนฝ่ามือ แล้วเธอก็พบว่าตนเองสามารถรื่นย์กับชีวิตได้อย่างแท้จริง

    อุบัติเหตุร้ายแรงได้นำชีวิตใหม่มาให้แก่สเตฟานี แม้ว่าเธอยังประสบกับความสำเร็จสลับกับความล้มเหลวเหมือนเดิม ได้รับคำชื่นชมควบคู่กับคำตำหนิเหมือนเดิม มีได้มีเสียเหมือนคนอื่น ๆ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือจิตใจ ใจที่อ่อนโยนนุ่มนวลกับชีวิต ไม่คิดบังคับควบคุมทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต นี้ต่างหากที่ทำให้ชีวิตใหม่บังเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
    :- https://visalo.org/article/kidFamily254902.htm
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    1501332307.jpg
    พระพุทธรูปในเนินหิน
    รินใจ
    ไทยมีสุโขทัย ส่วนศรีลังกามีโปลนนารุวะ ทั้งสองเมืองเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ และยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่คล้ายกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วสุโขทัยเป็นฝ่ายเลียนแบบมา ไม่ว่าจะเป็นตัววิหาร (เช่น วิหารวัดศรีชุมซึ่งคล้ายกับลังกาดิลกของลังกา) ลายปูนปั้น ไปจนถึงเวจกุฎี (ส้วมพระ) แม้แต่แบบแผนการปฏิบัติของพระสงฆ์ ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพราะนิกายของสุโขทัยนั้นเป็นแบบลังกาวงศ์

    แต่มีอย่างหนึ่งซึ่งพบได้ที่โปลนนารุวะเท่านั้น เพราะสุดวิสัยที่สุโขทัยจะเลียนแบบได้ นั่นคือ “คัลวิหาร” หรือ วิหารหิน ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่พระพุทธรูปขนาดใหญ่จำนวน ๔ องค์ ทั้งหมดประดิษฐานอยู่เรียงกันเนื่องจากสลักจากแนวหินแกรนิตแนวเดียวกัน กล่าวกันว่านี้คือสุดยอดของประติมากรรมแบบโปลนนารุวะ กล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือสุดยอดของประติมากรรมแบบลังกา

    เมื่อได้มาพบเห็นครั้งแรก หลายคนเหมือนกับถูกตรึงใจให้แน่นิ่งเพราะความสงบรำงับที่แผ่มาจากพระพุทธรูปโดยเฉพาะที่พระพักตร์ พระพุทธรูปที่ประทับใจผู้คนเป็นอันมากเห็นจะได้แก่พระพุทธรูปปางรำพึง ซึ่งสูง ๗ เมตร พระหัตถ์ทั้งสองนั้นยกขึ้นประสานที่พระอุระ และมีรอยยิ้มน้อย ๆ บนพระพักตร์ที่เอิบอิ่ม

    โทมัส เมอตั้นซึ่งเป็นนักบวชในศาสนาคริสต์ ยกย่องรอยยิ้มนี้ว่าเป็นเลิศกว่ารอยยิ้มของโมนาลิซ่า เพราะเป็นรอยยิ้มที่เรียบง่าย ซื่อตรง ไร้ปริศนา เขายังกล่าวถึงรอยยิ้มของพระพุทธรูปทั้งสี่ว่า เป็นรอยยิ้มอันยิ่งใหญ่ แม้มหึมาแต่ประณีตลึกซึ้ง เป็นรอยยิ้มแห่งความหมดสงสัย แจ่มแจ้งในทุกสิ่ง และไม่ผลักไสสิ่งใด เปี่ยมไปด้วยความสงบสันติอย่างแท้จริง นี้คือ “เอเชียที่สัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์...แจ่มกระจ่าง พิสุทธิ์ และสมบูรณ์”

    น่าทึ่งที่หินแกรนิตซึ่งทั้งแข็ง หยาบ และกระด้าง สามารถก่อเกิดประติมากรรมอันงดงาม อ่อนช้อย และบันดาลความรู้สึกอันลึกซึงออกมาได้ แน่นอนว่านฤมิตกรรมนี้ไม่อาจสำเร็จได้หากปราศจากช่างแกะสลักผู้มีสายตาอันประณีต หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาเหล่านั้นสร้างสรรค์ประติมากรรมอันวิเศษได้อย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ว่าช่างนิรนามเหล่านั้นมิได้ร่างพระพุทธรูปไว้ในใจก่อนแล้วจึงไปหาเนินหินที่มีขนาดตามต้องการ แท้ที่จริงเพียงแต่มองเนินหินเขาก็เห็นพระพุทธรูปปรากฏอยู่ในนั้นแล้ว

    เคยมีคนถามไมเคิล แอนเจโล ศิลปินก้องโลกยุคเรอเนส์ซองว่า เขาสลักประติมากรรมอันงดงาม เช่น “ดาวิด” และ “เปียตา” ได้อย่างไร ศิลปินตอบว่าเขาเพียงแต่จินตนาการเห็นประติมากรรมเหล่านั้นปรากฏอยู่ในแท่งหิน สิ่งที่เขาทำก็คือสลักเอาส่วนเกินออกมาเพื่อเปิดเผยสิ่งที่มีอยู่แล้วข้างใน

    ทีแรกพระพุทธรูปในคัลวิหารเหมือนจะบอกเราว่า จิตใจที่แข็งและหนาทึบด้วยกิเลสสามารถขัดเกลาให้เป็นจิตใจที่อ่อนโยน งดงาม และแจ่มกระจ่าง ไม่ต่างจากหินที่หยาบกระด้างสามารถสลักเสลาให้เป็นพระพุทธรูปอันงดงามและบันดาลใจได้

    แต่มองให้ลึกลงไป ใช่หรือไม่ว่าพระพุทธรูปทั้งสี่กำลังเปิดเผยความจริงอีกระดับหนึ่งว่า ในหินที่ทั้งแข็งและหยาบนั้นมีพระพุทธรูปซ่อนอยู่ก่อนแล้วฉันใด ในจิตใจที่กระด้างและหม่นหมองนั้นก็มี “พุทธะ” แฝงอยู่แล้วฉันนั้น

    พระพุทธรูปนั้นรอการค้นพบจากช่างเพื่อดึงออกมาจากเนินหินฉันใด “พุทธะ”ก็รอการค้นพบจากเราเพื่อดึงออกมาจากกองกิเลสและกองทุกข์ฉันนั้น

    สิ่งวิเศษสุดนั้นมีอยู่แล้วในตัวเรา เพียงแต่รอการค้นพบจากเราเท่านั้น ความสุขไม่ใช่สิ่งที่ต้องไล่ล่าหาจากข้างนอก หากมีอยู่แล้วในตัวเรา ในสิ่งที่เราเป็นและเรามี เพียงแต่เราต้องรู้จักหาและดึงออกมา

    ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นงานการที่กำลังทำอยู่ ครอบครัวที่แวดล้อม ทรัพย์สมบัติที่มี รวมทั้งสิ่งที่ประกอบเป็นตัวเรา หากพยายามดึงสิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากสิ่งเหล่านั้น รวมทั้งเป็นตัวเราเองให้ดีที่สุด ความสุขย่อมปรากฏ เป็นพ่อครัวหรือช่างก่อสร้างก็มีความสุขได้หากใช้ศักยภาพที่ตัวเองมีอย่างดีที่สุดจนความเป็นเลิศปรากฏออกมา ไม่ใช่ว่าจะต้องไปเป็นผู้จัดการหรือนางแบบเท่านั้นถึงจะมีความสุขได้

    ลูกของเราแม้จะเรียนไม่เก่ง แต่เขาก็มีสิ่งวิเศษอยู่ในตัว ที่รอการค้นพบจากเขา และรอการยอมรับจากเรา ปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือช่วยให้เขามองเห็นดุจเดียวกับช่างที่เห็นพระพุทธรูปอยู่ในแท่งหินอันอัปลักษณ์หรือไม่
    แต่เห็นอย่างเดียวไม่พอ ต้องดึงออกมาด้วยการขจัดเอาส่วนเกินออกไป ส่วนเกินที่ปิดกั้นหรือพอกเคลือบสิ่งวิเศษในตัวเรา ได้แก่ ความเห็นแก่ตัว ละโมบ หยิบโหย่ง รักสบาย คับแคบ อิจฉาริษยา เป็นต้น เพียงแต่ลดละสิ่งเหล่านี้ออกไป สิ่งดีงามก็ปรากฏ และยิ่งเน้นขับให้สิ่งดีงามโดดเด่นขึ้นมา ส่วนเกินอันไม่น่าดูแม้จะยังหลงเหลืออยู่ แต่ก็จะถูกกลบบังจนแทบเลือนหายไป

    เราทุกคนแท้จริงก็มีหน้าที่ไม่ต่างจากช่างแกะสลัก คือดึงเอาสิ่งงดงามและวิเศษสุดออกมาจากชีวิตที่ดูซ้ำซากจำเจและจากจิตที่หม่นหมองวุ่นวาย
    :- https://visalo.org/article/kidFamily254802.htm

    ****https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=aerides&month=04-2014&date=13&group=248&gblog=4
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    รู้ทันความคิด จิตสงบ
    พระไพศาล วิสาโล
    สมัยก่อนคนเฒ่าคนแก่เวลาให้พรลูกหลานที่มาเยี่ยม มากราบขอพร ท่านจะให้พรสั้น ๆว่า “ขอให้รู้เนื้อรู้ตัวนะ” ไม่ได้ให้พรอะไรมากมาย พรอื่นใด เช่น โชคดี มีลาภ อายุยืน ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับความรู้เนื้อรู้ตัว เพราะอายุยืนก็หลงได้ เช่น เป็นคนเจ้าอารมณ์ เพราะเจ็บปวดจากบาดแผลในอดีตที่ยาวนาน ผ่านมา30- 40 ปีแล้วก็ยัง ไม่หายแค้น ไม่หายพยาบาท อายุยืนจะมีประโยชน์อะไร ถ้าใจยังหลง จมอยู่กับความโกรธ คับแค้น เศร้า หดหู่ กินไม่ได้นอนไม่หลับ เผลอๆ ตอนตายก็ไปอบายภูมิ เพราะจิตสุดท้ายนึกคิดแต่ในทางอกุศล เพราะเต็มไปด้วยความหลง

    ถึงแม้จะมั่งคั่งร่ำรวย แต่ว่าถ้าใจยังหลง ห่วงกังวลทรัพย์สมบัติ ความร่ำรวยจะมีประโยชน์อะไร สำนวนโบราณว่า “ มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว” นี่ขนาดทองเท่าหนวดกุ้ง ถ้ามีทองเป็นโซ่จะขนาดไหน คนเฒ่าคนแก่เขารู้ดีว่ามีอะไรก็ไม่ประเสริฐเท่าการรู้เนื้อรู้ตัว เพราะเป็นประตูสู่ความสุขความสงบ อีกทั้งยังเป็นบันไดพาไปสู่ทรัพย์ที่ประเสริฐยิ่งกว่านั้น

    สิ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่าสามัญทรัพย์ ก็คือ ปรมัตถธรรม สูงสุดก็คือนิพพาน ปรมัตถธรรมจะเข้าถึงได้ ก็ต้องเริ่มจากการรู้เนื้อรู้ตัว ถ้าไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ไม่ต้องพูดถึงปรมัตถธรรม แม้กระทั่งการอยู่เย็นเป็นสุข ไม่อยู่ร้อนนอนทุกข์จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากยังมีความหลง ไม่รู้เนื้อรู้ตัว

    ที่ผ่านมา ความหลงเกิดกับเราส่วนใหญ่ วันละหลาย ๆ ครั้งหรือตลอดทั้งวัน ก็คือการหลงคิดถึงอดีตบ้าง อนาคตบ้าง คิดถึงงานการที่คั่งค้าง คิดถึงปัญหาต่าง ๆ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ อย่างนี้เรียกว่าหลงคิด

    ความคิดนั้นทิ้งง่ายกว่าอารมณ์ อารมณ์มีอิทธิพล มีพิษสงที่เกาะกุมจิตใจอย่างแน่นหนา ฝังลึกมากกว่าความคิด และยังหาตัวยาก ทั้งที่อยู่ในใจเรา อยู่ใกล้กว่าโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำ แต่เรามักหาไม่เจอ หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่ แต่เวลาที่ความคิดผุดขึ้นมา ส่วนใหญ่เราคิดเป็นคำ หรือนึกเป็นภาพ มันเห็นง่ายกว่า

    ความคิดนั้นบางครั้งก็ชวนให้มีความสุขเมื่อนึกถึงวันคืนอันชื่นบาน เกิดความเพลิดเพลินยินดี บางครั้งเรามีความสุขเมื่อใจลอย คิดถึงความสนุกสนาน นึกถึงการไปเที่ยว คิดแล้วก็เพลิน แต่ใจลอยก็เป็นความหลงอีกอย่างหนึ่ง

    บางคนสงสัยว่าใจลอยไม่ดีอย่างไร ทำไมจะต้องทิ้งหรือวางมันลง เพื่อกลับมาอยู่กับปัจจุบัน กลับมาอยู่กับความรู้เนื้อรู้ตัว

    ตอนที่ใจลอยก็ดูไม่มีพิษไม่มีภัย แต่ว่าพอใจลอยสักพักมันก็จม ใจลอยกับใจจมดูเหมือนตรงข้ามกัน แต่มันสนิทชิดเชื้อกันมากทีเดียว ตอนแรกใจลอยชวนให้เพลิดเพลินยินดี สักพักใจก็หวนกลับไปนึกถึงความเจ็บปวดในอดีต คิดถึงความทรงจำที่เลวร้ายขึ้นมา ตอนนี้ใจก็ถูกลากไปจมอยู่กับอดีต หรือจมอยู่กับภาพอนาคตที่ปรุงในทางลบทางร้าย คนเราพอฝันกลางวันแล้วใจลอย สักพักใจก็จม แล้วติดอยู่ในอารมณ์ จนทำให้เครียดเป็นทุกข์ ถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือรุ่มร้อนในจิตใจ

    ที่ใคร ๆ คิดว่าใจลอยเป็นเรื่องดี ไม่มีพิษสง นั่นเป็นเพราะเขาไม่ตระหนักว่า ใจลอยนี่แหละที่สุดท้ายจะทำให้ใจจมอยู่กับอารมณ์ที่เป็นอกุศล ยังไม่พูดถึงอุบัติเหตุที่เกิดเพราะใจลอย ไม่รู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา เช่น ลื่นหกล้มขณะเข้าห้องน้ำ หรือตกบันได ถ้าใจลอยขณะขับรถ ก็อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ลองนึกดูว่า หากข้ามถนนแล้วใจลอย จะเกิดอะไรขึ้น ใจยังไม่ทันจมเลย ก็เรียบร้อยไปแล้ว แข้งขาหัก หรือว่าถึงกับตายเลย เพราะฉะนั้นเราจึงควรพาใจให้มาอยู่กับการรู้เนื้อรู้ตัวบ่อย ๆ หมั่นรู้สึกตัวเป็นนิจ ด้วยการเจริญสติ

    สติมีประโยชน์ตรงที่ทำให้รู้ทันความคิด และอารมณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ใดก็ตาม อารมณ์บวกหรือลบ ยินดีหรือยินร้ายก็รู้ทัน ช่วยป้องกันไม่ให้มันมาครอบงำใจ ให้หลง ไม่ว่าจะหลงเพลิน หลงดีใจ หรือหลงทุกข์ ก็ไม่เอาทั้งนั้น เพราะว่า ความดีใจหรือความสุข ก็มีโทษเหมือนกัน

    หลวงพ่อชา สุภฺทโทเปรียบความทุกข์เหมือนกับหัวงู ส่วนความสุขเหมือนกับหางงู ถ้าจับหัวงู งูก็ฉก แต่ถ้าจับหางงูแล้วไม่รีบปล่อยมันก็ฉกได้เหมือนกัน ท่านหมายความว่า สุขหรือทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แต่มีหลายคนทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แต่พอโกรธทีใด แทนที่จะสลัดความโกรธ กลับยึดมันเอาไว้ เวลาเศร้าทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันกด ถ่วง หน่วง ทับ จิตใจ ก็ยังยึดเอาไว้ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง นั่นเป็นเพราะหลง เพราะไม่รู้ตัว ถ้ารู้ตัวก็จะวางเอง

    ความสุขก็เหมือนกัน ถ้ายึดเอาไว้ เหมือนกับจับหางงู ตอนแรกไม่เป็นอะไร แต่ประเดี๋ยวเดียวก็โดนงูกัดแล้ว ความสุขนั้นถ้ายึดเอาไว้ ก็จะเกิดทุกข์ตามมา เพราะความสุขเป็นของชั่วคราว ไม่เที่ยง แปรปรวน ไม่นานก็เสื่อมไป ถ้ายึดมันเอาไว้ พอมันหายไป ก็จะทุกข์ เสียใจ ผิดหวัง ความสงบก็เช่นกัน ตอนที่มันเกิดขึ้น หากไม่รู้ทัน ก็จะเผลอยินดี แต่พอความสงบหายไปก็จะเสียใจ ผู้ที่ติดสงบ พอไม่มีความสงบ ไม่ว่าสงบภายนอกหรือสงบภายใน ก็จะรู้สึกหงุดหงิด เสียใจ เป็นทุกข์
    ในทางตรงข้าม เมื่อสงบ ก็รู้ว่าสงบ ไม่เพลินกับความสงบ ดังนั้นเมื่อความสงบหายไป ใจก็ไม่เป็นทุกข์ ยังคงเป็นปกติอยู่ได้ ไม่หงุดหงิด ผลที่ตามมาคือความสงบ เป็นความสงบที่เกิดจากใจที่ไม่ยึดติดความสงบ
    :- https://visalo.org/article/jitvivat25640109.html
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ความสุขสองแบบ
    พระไพศาล วิสาโล
    ในทางพุทธศาสนา ความสุขเป็นเรื่องสำคัญ ถึงแม้ว่าพุทธศาสนาจะพูดถึงความทุกข์เป็นเรื่องแรกในอริยสัจ แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เราเข้าใจทุกข์อย่างแท้จริง เมื่อเราเข้าใจทุกข์อย่างถึงรากแล้ว ความสุขก็จะเกิดขึ้นเอง เพราะเราจะรู้ว่าที่ทุกข์ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะความยึดติดถือมั่น โดยเฉพาะความยึดติดถือมั่นในตัวตน ในตัวกูของกู ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของ ความคิด ทฤษฎี หรือภาพตัวตนที่เราสร้างขึ้นมา ทั้งหมดนี้คือที่มาหรือรากเหง้าแห่งความทุกข์ เพียงแค่เรารู้ด้วยใจ ไม่ได้รู้ด้วยสมอง ก็จะวางได้เอง และเมื่อถึงตรงนั้นความสุขก็จะเกิดขึ้น แต่ว่าความสุขแบบนี้จะต้องเกิดจากปัญญาที่แจ่มแจ้ง

    ความสุขสำหรับคนทั่วไป เป็นความสุขที่เกิดจากการเสพทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือกามสุข เรียกอีกอย่างว่า ความสุขที่เกิดจากการเร้าจิตกระตุ้นใจ ลองสังเกตดู ความสุขทางโลกที่ผู้คนแสวงหา ไม่ว่ารูปธรรม หรือนามธรรมล้วนเป็นเช่นนี้ รูปธรรมอย่างเช่น อาหารที่อร่อย เพลงที่ไพเราะ หรือสัมผัสที่น่าพึงพอใจ ส่วนนามธรรมก็ได้แก่ ชื่อเสียง เกียรติยศ อำนาจ ทั้งหมดนี้ล้วนมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่คล้ายกันคือ เร้าใจให้ตื่นเต้นเวลาที่ได้มาหรือได้เสพ เช่น อาหารอร่อยก็เพราะว่ามันกระตุ้นลิ้นแล้วก็ไปกระตุ้นใจ ต่างจากอาหารที่จืดชืด ไม่อร่อย เพลงที่มีโทนเดียว ใครฟังก็รู้สึกว่าไม่เพราะ เพลงที่คนส่วนใหญ่ฟังแล้วมีความสุขต้องเป็นเพลงที่มีจังหวะกระตุ้นเร้า ถ้าเป็นวัยรุ่นก็ต้องเป็นเพลงที่กระแทกกระทั้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อกระตุ้นผัสสะซึ่งนำไปสู่ความสุขทางใจ แม้แต่ความสุขทางเพศก็เกิดจากการกระตุ้นเร้าทั้งกายและใจ อำนาจก็เช่นกัน ผู้คนแสวงหาก็เพราะมันตื่นเต้นเร้าใจ ทำให้หัวใจพองโต แม้แต่ตัวเลขในสมุดบัญชี เห็นแล้วก็มีความสุขเพราะมันทำให้เกิดความกระเพื่อมไหวพองฟูในจิตใจ ทั้งๆ ที่เราไม่รู้ว่าจะได้ใช้เงินนั้นหรือเปล่า หลายๆ คนพอใจที่มีเงินเข้ามาเรื่อยๆ แม้ยังไม่ได้ใช้เงินก็มีความสุขแล้ว เพราะว่ามันเร้าจิตกระตุ้นใจ ในทำนองเดียวกัน ทำไมผู้คนชอบไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเงิน นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกตื่นเต้นเร้าใจเมื่อได้เห็นของแปลกๆ ใหม่ๆ นี่คือความสุขประเภทแรกที่ผู้คนเสาะหา


    แต่ความสุขประเภทนี้เมื่อได้เสพ ได้สัมผัสไปสักพักก็จะเริ่มชินชา อยากได้ใหม่ หรืออยากได้มากขึ้น ไม่ต่างจากคนที่สูบบุหรี่ หรือกินกาแฟ เมื่อก่อนสูบบุหรี่เพียงแค่ครึ่งมวนก็สบาย มีความสุขแล้ว หรือชงกาแฟดื่มเพียงแค่ครึ่งช้อนก็รู้สึกกระชุ่มกระชวย แต่ถ้าสูบบุหรี่หรือดื่มกาแฟไปเรื่อยๆ ถามว่าบุหรี่ครึ่งมวน หรือกาแฟครึ่งช้อนเท่าเดิมพอไหม ไม่พอแล้ว ต้องเพิ่มมวนบุหรี่มากขึ้น ต้องเพิ่มปริมาณกาแฟมากขึ้น ความสุขแบบนี้ทำให้เราต้องเสพมากขึ้น หรือมีของใหม่มากขึ้นอยู่เรื่อย ๆ

    ทั้ง ๆ ที่มีเสื้อนับร้อยตัว ทำไมเราถึงอยากได้เสื้อตัวใหม่ เพราะว่าความสุขของคนส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นกับว่ามีเท่าไหร่ แต่อยู่ที่ได้ของใหม่เพิ่มขึ้น คุณมีเงินร้อยล้านพันล้าน คุณก็ไม่มีความสุขถ้าคุณไม่มีเงินก้อนใหม่เข้ามา แม้จะเป็นเงินหมื่นเงินแสนก็ตาม เพราะฉะนั้นคนที่มีเงินร้อยล้านพันล้านจึงต้องหาเงินไม่รู้จักจบสิ้น จนกระทั่งกลายเป็นทาสของมัน เพราะว่าเงินก้อนใหม่หรือของใหม่ที่ได้มานั้นมันไปกระตุ้นจิตใจ ทำให้มีความสุข ความสุขของคนเราถึงที่สุดแล้วไม่ได้เกิดจากการมี แต่เกิดจากการได้ มีเท่าไหร่ก็ไม่มีความสุข ถ้าไม่ได้อะไรมาใหม่ๆ นี่คือโทษของความสุขแบบนี้ คือพอเสพเข้าไปมากๆ เราจะขาดมันไม่ได้ อยากได้เรื่อยไปจนตกเป็นทาสของมัน

    มีเศรษฐีคนหนึ่งอายุ ๗๐ กว่าปี มีโรคภัยเบียดเบียน นอนป่วยอยู่ แต่แทนที่จะพักผ่อน กลับหมกมุ่นครุ่นคิดถึงโครงการลงทุนใหม่ๆ ไม่หยุดหย่อนจนเครียด ทั้งๆ ที่เขาควรจะหาเวลาพักผ่อนเพราะสุขภาพไม่อำนวย แต่เขากลับหยุดหาเงินไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วมากมายมหาศาล และที่ได้มาใหม่ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ใช้หรือไม่ แสดงว่าเงินไม่ใช่ของเขา แต่ว่าเขาเป็นของเงิน จึงต้องทุ่มเทชีวิตเพื่อหาเงินหาทองจนกว่าจะหมดลม

    จะว่าไปแล้วอุทกภัยครั้งนี้ช่วยให้เราให้เห็นตัวเองชัดเจนว่า สมบัติทั้งหลายนั้นเป็นของเราหรือเราเป็นของมัน ถ้ามันเป็นของเรา ถ้าเราเป็นนายมัน เมื่อเสียมันไปก็สามารถปล่อยวางได้ ไม่ทุกข์ร้อน แต่ถ้าเราเป็นของมัน เราก็จะคร่ำครวญเสียอกเสียใจ หรือถึงแม้จะยังไม่สูญเสียมันไป แต่ก็กังวลพะว้าพะวง ตัวเองอยู่ที่นี่แต่ใจไปอยู่ที่บ้าน อยู่กับทรัพย์สมบัติ หรือรถยนต์ หรือแม้ตัวจะอยู่บ้าน แต่ก็กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเครียดกับความสูญเสียที่กำลังจะเกิดขึ้น

    นี่คือโทษของกามสุข คือเมื่อติดใจมันเข้าแล้ว นอกจากจะต้องเพิ่มปริมาณในการเสพมากขึ้น หรือดิ้นรนหามาเพิ่มไม่หยุดหย่อนแล้ว เรายังตกเป็นทาสของมัน แล้วมันก็จะเผาใจของเรา พระพุทธเจ้าอุปมาว่ากามสุข รวมไปถึงสุขจากโลกธรรม เปรียบเหมือนคบไฟที่ทำด้วยหญ้าแห้ง แม้จะให้แสงสว่าง แต่ก็เต็มไปด้วยควัน ซึ่งทำให้ระคายจมูก ระคายตา บางที่พระองค์ก็เปรียบว่าเหมือนกับการถือคบไฟเดินต้านลม ถ้าเราถือไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมปล่อย ในที่สุดไฟก็จะเผามือ

    มีความสุขอีกประเภทหนึ่ง เกิดจากจิตที่สงบ ปลอดจากสิ่งยั่วยุกระตุ้นเร้าของวัตถุ ความสุขประเภทนี้ตรงข้ามกับความสุขประเภทแรก คือ ใจยิ่งสงบเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นสุขมากเท่านั้น เช่นสุขที่เกิดจากสมาธิ หรือสุขที่เกิดจากการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สงบสงัด

    ความสงบใจมีสองแบบ คือ สงบเพราะไม่รู้ กับสงบเพราะรู้ สงบเพราะไม่รู้เช่น ถ้าเราไม่ฟังข่าวน้ำท่วม ไม่ฟังวิทยุ ไม่ดูโทรทัศน์ เราเก็บตัวอยู่ในห้องพระ ใจเราก็สงบได้ แต่เมื่อใดที่เราเปิดโทรทัศน์ดูข่าว เราก็ไม่สงบแล้ว หรือบางคนแม้อยู่คนเดียว ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่ฟังวิทยุ ใจก็ไม่สงบ แต่พอเริ่มเอาจิตมาอยู่กับลมหายใจ หายใจเข้ารู้สึก หายใจออกรู้สึก จิตไม่ออกไปคิดถึงเรื่องน้ำท่วม จิตก็สงบนิ่ง อันนี้คือความสงบเพราะไม่รับรู้ ไม่ว่าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยที่ใจก็ไม่รับรู้อะไรอย่างอื่นนอกจากลมหายใจ

    แต่มีความสงบอีกประเภทหนึ่งคือ ความสงบเพราะรู้ รู้อารมณ์ที่กระเพื่อมไหว และรู้ใจที่คิดนึก ถึงแม้ว่าไม่ได้อ่านข่าว ไม่ได้ฟังวิทยุ แต่พอใจฟุ้งหรือนึกอาลัยข้าวของที่จมน้ำ หรือกังวลว่ารถของเราจะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดน้ำท่วมในวันพรุ่งนี้หรือวันพรุ่ง พอรู้ว่าใจฟุ้งซ่านก็วางความคิดนั้น จิตก็สงบ

    สงบเพราะรู้ คือรู้ใจที่กระเพื่อม รู้อารมณ์ที่ครอบงำใจ รู้แล้วก็วาง นั่นคือรู้เพราะมีสติ เมื่อมีสติก็รู้ทันอารมณ์ รู้ทันจิตที่คิด ที่ปรุงแต่ง รู้แล้วก็วาง ถ้ารู้แบบนี้ใจเราก็สามารถสงบได้แม้อยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึกวุ่นวาย แม้เราจะฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ทีแรกใจก็กระเพื่อม กังวล แต่พอมีสติรู้ทัน ก็วางมันได้ ความสงบก็กลับมาสู่จิตใจ เราไม่จำเป็นต้องปิดหูปิดตา สามารถรับรู้ข่าวสารบ้านเมืองโดยที่ใจยังสงบอยู่ได้ เพราะไม่ได้รู้เรื่องภายนอกหรือข่าวสารบ้านเมืองเท่านั้น แต่ยังรู้ภายในคือรู้ใจด้วย รู้ใจแล้วก็วางความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ลงได้ จึงทำให้ใจสงบ นี่คือสงบเพราะรู้ รู้ด้วยสติ

    เรายังสามารถจะรู้ด้วยปัญญา รู้ด้วยปัญญาคือ รู้ความจริงว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง รู้ถึงความเป็นอนิจจังของสิ่งต่างๆ รู้ว่าวันนี้สุขพรุ่งนี้ทุกข์ รู้ว่าวันนี้ทุกข์พรุ่งนี้สุข และรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเราได้ คือรู้ไตรลักษณ์นั่นเอง เมื่อรู้ไตรลักษณ์แล้วใจก็สงบ แม้มีอะไรมากระทบใจก็ไม่กระเพื่อม แม้ของจะสูญหายไปกับสายน้ำก็ไม่ทุกข์ เพราะเรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เรารู้และตระหนักถึงความไม่เที่ยงอยู่ตลอดเวลา แม้ในวันที่มีความสุข เราก็ตระหนักถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า อนาคตภัย

    อนาคตภัยคือ ภัยในอนาคต วันนี้สุขก็จริงแต่ว่าพรุ่งนี้ไม่แน่ วันนี้สุขภาพดี แต่พรุ่งนี้ก็อาจเจ็บป่วย วันนี้ยังมีกำลังวังชา แต่พรุ่งนี้ก็จะไม่มีเรี่ยวแรง วันนี้อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ แต่พรุ่งนี้ก็อาจขาดแคลน วันนี้ครอบครัวชุมชนมีความสงบ แต่พรุ่งนี้ก็อาจจะวุ่นวายวิวาทกัน เมื่อระลึกได้เช่นนี้ก็พยายามป้องกันไม่ให้ภัยเหล่านั้นเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็เตรียมตัวเตรียมใจหากมันเกิดขึ้นมา จะได้ไม่เป็นทุกข์ เพราะเผื่อใจไว้แล้ว พร้อมกันนั้นก็มีปัญญารู้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ในยามที่เจ็บป่วยเราก็ยอมรับว่านี่เป็นธรรมชาติหรือธรรมดาของสังขาร เมื่อรู้เช่นนี้เราก็ปล่อยวางได้ น้ำจะท่วมบ้านเราก็ปล่อยวางและทำใจได้ เพราะเรารู้แต่แรกว่าไม่มีอะไรแน่นอนเลย หรือเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง

    แต่เมื่อใดก็ตามที่เราทุกข์ก็แสดงว่าเรายังไม่เข้าถึงความจริง ยังไม่เกิดปัญญา หลวงพ่อชา สุภัทโท พูดไว้น่าคิดว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรานั้นมันถูกเสมอ แต่ถ้าเราทุกข์เมื่อไหร่นั่นแปลว่าใจเราวางไว้ผิด ใจที่วางไว้ผิดในที่นี้ได้แก่การยึดติดถือมั่นเพราะความไม่รู้ เพราะขาดปัญญา แต่ถ้าเรามีปัญญา วางใจได้ถูกต้อง จิตก็จะสงบ ไม่ทุกข์เพราะความผันผวนปรวนแปรที่เกิดขึ้น อย่างนี้เรียกว่า สงบเพราะรู้ สงบอย่างนี้แหละที่จะนำไปสู่ความสุขอันสูงสุด คือพระนิพพาน ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี”
    :- https://visalo.org/article/PosttoDay25550101.htm

     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
    พระไพศาล วิสาโล

    พนักงานบริษัทคนหนึ่งอายุประมาณ ๔๐ ปี เล่นเทนนิสทุกสัปดาห์ วันหนึ่งไปตรวจสุขภาพประจำปี หมอบอกว่าคุณเป็น “หัวใจรั่ว” เขาได้ยินก็ตกใจ เพราะในความเข้าใจของเขา หัวใจรั่วก็คือหัวใจเป็นรูและมีเลือดพุ่งออกมาเวลาหัวใจบีบตัว เขาไม่รู้ว่าที่จริงหมอตั้งใจจะบอกว่า ลิ้นหัวใจของเขารั่ว ซึ่งไม่ได้เลวร้ายถึงตาย เขายังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ออกกำลังกายก็ยังได้ แต่พอเขาเข้าใจว่าหัวใจตัวเองรั่วก็เลยกังวลและเครียดมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ ปรากฏว่าสองวันหลังจากนั้นเขาก็เข้าโรงพยาบาลเลย แล้วอาการก็แย่ลง จนต้องเข้าห้อง ICU และเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา ที่จริงแล้วอาการของเขาไม่ได้หนักหนามาก แต่เนื่องจากใจมีความวิตกกังวลมาก ก็ทำให้ร่างกายทรุดหนักจนถึงตายได้


    ชาวบ้านคนหนึ่งเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาล โดยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แล้ววันหนึ่งหมอก็บอกว่า “ป้าเป็นมะเร็งตับนะ อยู่ได้ไม่เกิน ๓ เดือน” เธอตกใจมาก เครียด วิตกกังวลอย่างหนัก อยู่ได้แค่ ๑๒ วันก็ตาย คือตอนที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็ยังมีเรี่ยวแรง แต่พอรู้แล้วก็ทรุดเลยเพราะถูกความกลัว ความเครียด ความวิตกกังวลเล่นงานจิตใจ ก็เลยตายเร็ว ลำพังก้อนมะเร็งที่ตับนั้นมันไม่ได้ทำให้เธอตายเร็วขนาดนั้น แต่เป็นเพราะใจของเธอต่างหากที่ทำให้เธอตายเร็วขึ้น

    ตรงข้ามผู้หญิงคนหนึ่ง หมอบอกว่าเธอเป็นมะเร็งตับ อยู่ได้ไม่เกินหกเดือน แต่ปรากฏว่าเธออยู่ได้ถึงหกปี อันนี้เป็นเพราะใจ ถ้าใจไม่สู้ ใจกลัว ใจวิตกก็ตายเร็ว ด้วยเหตุนี้จึงพูดได้ว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ทุกข์กายนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ทุกข์ใจน่ากลัวกว่า ทุกข์กายนั้นยังพอประคับประคองไปได้ แต่พอทุกข์ใจแล้วร่างกายมันทรุดไปเลย เพราะใจไม่ยอมรับความจริง ถ้ายอมรับความจริง อาการก็จะไม่ทรุดหนักขนาดนั้น แต่เป็นเพราะว่าใจปฏิเสธ ไม่ยอมรับ ทนไม่ได้ พยายามดิ้นรนผลักไส มีความรังเกียจ มีการต่อต้านอยู่ข้างใน ก็เลยทำให้เครียด แถมยังปรุงแต่งไปในทางร้ายอีก ของเดิมยังไม่เท่าไร แต่พอปรุงแต่งให้มันเลวร้ายขึ้น อาการก็เลยหนักกว่าเดิม อย่างเช่น พยาธิปากขอ ไม่ใช่โรคร้าย แต่พอปรุงแต่งว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เป็นไตวาย แล้วหลงเชื่อความคิดปรุงแต่งนั้น มันก็ฉุดใจและกายให้ทรุดหนัก จนกระทั่งป่วยหนักหรือตายเร็วเข้า

    การที่เราหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องใจนั้นจำเป็นมาก เพราะถึงแม้ว่าเราป่วย แต่ถ้าใจเราเป็นปกติได้ ก็จะป่วยแค่กาย แต่ใจไม่ป่วย สามารถที่จะอยู่ได้อย่างปกติสุข คนที่เป็นมะเร็งหลายคนอยู่ได้อย่างปกติสุข ทำงานทำการได้ เพราะว่าเขายอมรับความจริงและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมะเร็ง บางคนติดเชื้อ HIV มา ๒๐ ปีแล้วก็ยังสามารถมีชีวิตได้เหมือนคนปกติเพราะใจ แต่บางคนติดเชื้อ HIV ได้แค่ ๓-๔ ปีก็ตายแล้ว นั่นเป็นเพราะใจเช่นกัน คุณภาพของใจนั้นสำคัญมาก ไม่ใช่แต่เฉพาะเวลาเจ็บป่วยซึ่งเป็นธรรมดาของชีวิต แต่รวมถึงมีเหตุเภทภัยอื่น ๆ เกิดขึ้น ทั้งที่เกี่ยวกับทรัพย์สมบัติก็ดี เกี่ยวกับงานการก็ดี เกี่ยวกับคนรักหรือความสัมพันธ์ก็ดี สิ่งที่คนมักจะมองข้ามก็คือใจที่วางไว้ไม่ถูกหรือยอมรับไม่ได้ คือตัวการที่ทำให้เราทุกข์อย่างแท้จริง

    ที่จริงแล้วเหตุเภทภัยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ทรัพย์สมบัติ คนรัก ไม่ได้ทำให้เราทุกข์มากเท่ากับใจที่วางไว้ผิด หากวางใจถูกแม้เจอเหตุร้าย ก็ยังมีความสุขได้ เด็กผู้หญิงอายุ ๑๔ ปีเป็นมะเร็งสมอง วันหนึ่งมีอาสาสมัครไปเยี่ยม เธอแปลกใจมากว่าเด็กคนนี้เป็นมะเร็งสมอง ผมร่วงทั้งหัว แต่ทำไมถึงหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส คุยไปคุยมาเด็กคนนั้นบอกว่า “หนูโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็งมดลูก มีญาติคนหนึ่งเป็นมะเร็งมดลูก เขาปวดมากเลย” แล้วเธอก็บอกต่อว่า “หนูโชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง” กรณีนี้ตรงข้ามกับบางคนที่สุขภาพดี แต่แค่มีสิว ผิวแห้ง ผมแตกปลาย หน้าไม่เต่งตึงเท่านั้นก็จะเป็นจะตายให้ได้

    คนหนึ่งเป็นมะเร็งแต่ใจยอมรับได้ แล้วมองโลกในแง่บวก อีกคนหนึ่งสุขภาพปกติ แต่ว่ารูปร่างหน้าตาไม่เป็นดั่งใจกลับทุกข์ระทม จะเป็นจะตายให้ได้ ที่ฆ่าตัวตายก็มี มีบางคนเป็นสิว รู้สึกอับอายมาก ไปที่ไหนก็กลัวเพื่อนล้อ พอเจอเพื่อนล้อก็ไปจริงจังกับคำพูดของเขา กลุ้มใจ น้อยเนื้อต่ำใจมากถึงกับฆ่าตัวตาย

    เห็นได้ว่าใจเป็นนายจริง ๆ สุขหรือทุกข์ของคนเรานั้นขึ้นอยู่กับใจ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แม้ว่ามีโรคร้ายเกิดขึ้น ถ้าใจเป็นปกติหรือรู้จักวางใจให้ถูก ก็มีความสุขได้ แต่ถ้าวางใจผิด ยึดติด ถือมั่น หรือปรุงแต่งไปในทางลบ แถมเชื่อหรือยึดติดในสิ่งที่ปรุงแต่ง ก็ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ อาจจะถึงตายได้ ตายเพราะตรอมตรมหรือเพราะมีความกังวลมาก

    คนเราเวลาไปทำบุญก็มักจะขอให้ไม่มีเหตุเภทภัยกับเรา แต่เราลืมมองไปว่าแม้จะไม่มีเหตุเภทภัย แต่ว่าถ้าเราวางใจไม่ถูกก็มีความทุกข์ได้ อย่าว่าแต่มีเหตุเภทภัยเลย แม้เจอโชคลาภแต่ถ้าวางใจไม่ถูกก็กลับเป็นทุกข์ มีชาวบ้านคนหนึ่งแทงหวยสามตัว แทงไป ๑๕ บาท ปรากฏว่าแทงถูก ได้เงินมา ๖๐๐ บาท แกดีใจจนยิ้มแก้มปริ แต่พอรู้ว่าเพื่อนอีกคนหนึ่งแทงตัวเดียวกัน แต่แทงมากกว่า ได้เงินมา ๒,๐๐๐ บาท ที่ยิ้มอยู่ก็หุบเลย กลายเป็นเสียใจขึ้นมาเลย ทุกข์ขึ้นมาทันทีทั้ง ๆ ที่ได้โชคได้ลาภแท้ ๆ
    แต่กรณีนี้ก็ยังไม่หนักเท่ากับอีกรายหนึ่ง มีเพื่อนเล่าให้ฟังว่าไปเจอคุณป้าคนหนึ่งซึ่งเป็นนักเล่นหุ้นเหมือนกัน แกเล่าว่าเมื่อ ๒-๓ วันก่อน แกขายหุ้นไปได้กำไร ๑๐ ล้านบาท ผู้ชายคนนี้ก็เลยบอกคุณป้าว่าขอแสดงความยินดีด้วยครับคุณป้า แต่คุณป้าตอบกลับมาว่า “ยินดีอะไรกันล่ะ ถ้าฉันขายหุ้นวันนี้ฉันก็ได้กำไรแล้ว ๒๐ ล้าน” คุณป้าไม่มีความสุข ไม่รู้สึกยินดีทั้ง ๆ ที่ได้กำไร ๑๐ ล้าน ซึ่งยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เสียอีก เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น วันรุ่งขึ้นคุณป้าไม่ได้มาที่ตลาดหุ้นเหมือนเคย ผู้ชายคนนี้จึงไปถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดว่า คุณป้าหายไปไหน ก็ได้คำตอบว่าเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว ที่เข้าโรงพยาบาลก็เพราะเครียดที่ได้กำไรแค่ ๑๐ ล้าน
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    คนเรามักคิดว่าขอให้ฉันมีโชคมีลาภ อย่าให้มีเหตุเภทภัย แต่มันก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าถึงแม้จะไม่มีเหตุเภทภัยหรือถึงแม้จะได้โชคได้ลาภก็ใช่ว่าเราจะมีความสุขเสมอไป มันอยู่ที่ใจ ถ้าเราวางใจไว้ไม่ถูกก็เป็นทุกข์ได้ ที่จริงจะดีกว่าหากขอให้ตัวเองมีปัญญา มีสติ พร้อมยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยจิตใจแช่มชื่นเบิกบาน เพราะถ้าหากมีสติ มีปัญญา ฉลาดทำใจ ไม่ว่าเจออะไร ก็ไม่ทุกข์

    มีหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนมีน้ำใจดี ชอบช่วยเหลือหมู่บ้านในชนบท บางทีก็พาคนอื่นไปทำความดีด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาพานักศึกษาไปช่วยเหลือโรงเรียนยากจนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เสร็จแล้วก็เดินทางต่อไปยังแม่สอด จังหวัดตาก ระหว่างที่ลงจากเขา เราคงทราบดีว่าแม่ฮ่องสอนมีโค้งนับพันโค้ง รถเกิดอุบัติเหตุลื่นไถลลงมาจากไหล่เขา โชคดีที่เหวไม่ได้ลึกมาก ประมาณ ๑๐-๒๐ เมตร ตอนที่รถเสียหลักเขาภาวนาว่าขออย่าให้นักศึกษาคนไหนมีอันเป็นไป ปรากฏว่าทุกคนปลอดภัย ยกเว้นตัวเขาเอง เขาเป็นอัมพาตตั้งแต่เอวลงมา ระหว่างที่พักฟื้นที่โรงพยาบาล หลายคนที่มาเยี่ยมพูดเหมือนตัดพ้อว่า ทำความดีขนาดนี้ ทำไมถึงต้องมาเจอเหตุร้าย พูดคล้ายๆ กับว่าทำดีไม่ได้ดี แต่ว่าหนุ่มคนนี้ป็นคนฉลาดในการมองโลกและชีวิต เขาพูดปลอบใจและเตือนสติเพื่อนว่า “ก็เพราะทำความดีน่ะสิ ถึงรอดมาได้ขนาดนี้” คือรอดมาได้ครึ่งตัว ถ้าไม่ทำความดีก็อาจจะตายไปแล้วก็ได้ จะเห็นได้ว่าถึงแม้เจอเหตุเภทภัย แต่ถ้าวางใจไว้ถูก เช่นในกรณีนี้ ได้แก่การมองในแง่บวก ใจก็จะไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้นถ้าหากเรารู้จักมองแบบนี้บ้างก็จะทำให้สามารถรับมือกับเหตุเภทภัยต่าง ๆ ได้

    การมองในแง่บวกหมายถึงการมองที่ไม่ได้เห็นแต่สิ่งที่เลวร้าย แต่ยังเห็นสิ่งที่ดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับเราด้วย เวลาเราเจ็บป่วย เช่น ปวดท้องหรือปวดหัว ถ้ามองในแง่บวกก็คือว่าเรายังมีร่างกายส่วนอื่นที่ยังทำงานได้ดี ถ้าเรามัวจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่ดี เรียกว่าเป็นการมองในแง่ลบ การมองในแง่บวกก็คือมองเห็นสิ่งดี ๆ หรือรู้จักชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อกนกวรรณ ศิลป์สุข เป็นโรคธาลัสซีเมียตั้งแต่เกิด โรคนี้คนไทยเป็นกันมาก เป็นโรคเลือดติดต่อทางกรรมพันธุ์ หมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกิน ๒๐ ปี แต่เธอก็อยู่มาได้ ๓๐ ปีแล้ว เธอมีร่างกายแคระแกรน กระดูกเปราะ ขาและแขนหักเป็นประจำ แต่เป็นคนที่มีความสุขมาก มีคนถามว่าทำไมเธอถึงมีความสุขทั้ง ๆ ที่จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ ร่างกายก็ไม่ค่อยดี ต้องรับเลือดเป็นประจำทุกสัปดาห์ เธอตอบว่า “เลือดเราอาจจะจาง จะแย่หน่อย แต่เราก็ยังมีตาเอาไว้มองสิ่งที่สวย ๆ มีจมูกไว้ดมกลิ่นหอม ๆ มีปากไว้กินอาหารอร่อย ๆ แล้วก็มีร่างกายที่ยังพอทำอะไรได้อีกหลายอย่าง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่เราจะมีความสุข” เธอยังพูดต่อว่า “โลกมีเอาไว้อยู่ ไม่ได้มีเอาไว้แบก”

    บางคนเป็นโรคธาลัสซีเมียก็เอาแต่บ่นว่าทำไมถึงต้องเป็นฉัน ทำไมถึงต้องเป็นฉัน ใจจดจ่ออยู่กับโรคหรือกับเลือดที่ไม่ดี แต่ลืมมองไปว่าสิ่งดี ๆ ในตัวเองก็ยังมีอยู่เยอะ ตาก็ยังมองเห็น ขาก็ยังเดินไปไหนมาไหนได้ มือก็ยังทำงานทำการได้ สามารถเก็บเกี่ยวความสุขที่มีอยู่รอบตัวได้ มองอย่างนี้เป็นการมองในแง่บวก คือมองเห็นสิ่งดี ๆ ท่ามกลางสิ่งที่ไม่ดี

    มองในแง่บวกอีกอย่างก็คือมองว่าในสิ่งที่แย่ ๆ นั้นก็มีประโยชน์หรือข้อดีอยู่ และก็ดีที่มันไม่แย่ไปกว่านี้ บางคนบอกว่าโชคดีที่เป็นมะเร็งเพราะทำให้ได้หันมาหาธรรมะ ถ้าไม่เป็นมะเร็งก็คงไม่สนใจธรรมะ หรือบางคนขอบคุณที่ธุรกิจล้มละลายเมื่อปี ๒๕๔๐ เพราะการล้มละลายทำให้เขาเข้าหาธรรมะ เพื่อดับร้อน ดับความทุกข์ ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจธรรมะมาก่อนเลย แต่พอธุรกิจล้มละลาย เป็นหนี้ล้นพ้นตัว กลุ้มใจมากก็เลยมาวัด บางคนไม่ได้มาเอง มีคนชวนมา เพราะว่าทุกข์มาก พอมาวัด ได้ปฏิบัติธรรม จึงรู้จักปล่อย รู้จักวาง ทำใจได้ ก็เลยหันมาสนใจธรรมะและพบความสุขที่แท้จริง จึงต้องขอบคุณที่ธุรกิจล้มละลาย อย่างนี้เรียกว่าในสิ่งที่แย่ก็มีประโยชน์หรือข้อดีอยู่ไม่น้อย นี่เป็นการมองในแง่บวกอีกแบบหนึ่ง ถ้าเรามองแบบนี้ให้เป็นมันจะช่วยได้มาก มันไม่ใช่การหลอกตัวเอง แต่เป็นการมองเห็นความจริงอีกมุมหนึ่งที่ผู้คนมักจะไม่ค่อยมอง เพราะว่าเห็นแต่เรื่องลบ มองแต่เรื่องร้าย
    :- https://visalo.org/article/PosttoDay25551021.htm
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    คำขอโทษ
    รินใจ
    ขณะที่สมศักดิ์กำลังขับรถอยู่บนเลนขวาของถนนหลวง เขาไม่ได้สังเกตว่าข้างหลังมีรถคันหนึ่งซึ่งกำลังเร่งเครื่องและพยายามแซงขึ้นหน้า ในที่สุดรถคันนั้นก็แซงซ้ายขึ้นไปจนได้ แล้วบีบแตรพร้อมกับตะโกนต่อว่า สมศักดิ์รู้สึกโกรธขึ้นมา จึงเร่งเครื่องเพื่อแซงรถคันนั้น ขณะที่รถแล่นขนานกัน เขาก็ลดกระจกเพื่อเตรียมจะตะโกนตอบโต้

    ชั่วขณะนั้นเองเขาสังเกตว่าอีกคันหนึ่งก็ลดกระจกเช่นกัน เขาจึงมองไปที่คนขับรถคนนั้น แล้วจู่ ๆ เขาก็ตะโกนว่า “ผมขอโทษ !” คนขับรถคันนั้นอึ้งไปทันที แล้วก็ตะโกนตอบว่า “ผมก็ขอโทษ!” แล้วต่างคนต่างก็บอกให้อีกฝ่ายนำไปก่อน “คุณไปก่อน” “ไม่ คุณไปก่อน”


    สมศักดิ์ยอมรับว่าไม่รู้หลุดปากขอโทษไปได้อย่างไร เพราะตอนที่กำลังแซง คิดแต่จะตะโกนด่า แต่ชั่วขณะนั้นเองเขารู้สึกขึ้นมาทันทีว่าการทะเลาะเบาะแว้งกันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าเสียเลย

    สมศักดิ์คงนึกไม่ถึงว่าคำขอโทษของเขานั้นจะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนท่าทีอย่างฉับพลัน และกลายมาเป็นมิตร เช่นเดียวกับสมศักดิ์ คนขับรถอีกคันหนึ่งก็คงไม่รู้ว่าตนเอ่ยปากขอโทษกลับไปได้อย่างไร เพราะตอนที่ลดกระจกนั้นก็เตรียมตัวจะด่าเต็มที่

    “ผมขอโทษ” คำสามคำนี้ดูเหมือนเป็นคำพื้น ๆ ธรรมดา ๆ แต่มีอานุภาพในการสยบความโกรธและเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้อย่างนึกไม่ถึง

    หมอคนหนึ่งเข้าร่วมทีมผ่าตัดเพื่อช่วยเด็ก แต่เกิดผิดพลาดขึ้นมา เด็กเสียชีวิตคาเตียง เขารู้สึกตกใจและเสียใจมาก เมื่อออกจากห้องผ่าตัด เขาเดินไปหาแม่เด็กและกล่าวคำขอโทษ ต่อมาแม่ของเด็กได้ฟ้องเรียกค่าเสียหาย เมื่อคดีขึ้นถึงศาล ปรากฏว่าทีมผ่าตัดถูกฟ้องทุกคนยกเว้นหมอผู้นั้นผู้เดียว ทนายความของทีมผ่าตัดไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น หมอผู้นั้นก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ ทนายความจึงถามแม่ของเด็กระหว่างการซักพยานว่าทำไมถึงไม่ฟ้องหมอผู้นั้นด้วย คำตอบของเธอก็คือ “เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ใส่ใจ”

    คำขอโทษนั้นมีพลังที่สามารถเปลี่ยนจิตใจของอีกฝ่ายได้ แต่เมื่อเกิดปัญหาหรือข้อขัดแย้งกันขึ้นมา คำธรรมดาสามัญเพียงไม่กี่คำนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่เอ่ยปากได้ยากอย่างยิ่ง เพราะไปเข้าใจกันว่า คำขอโทษเป็นการแสดงถึงความอ่อนแอ และเปิดจุดอ่อนให้อีกฝ่ายหนึ่งเล่นงานได้ง่าย ถ้าหมอขอโทษก็แสดงว่าหมอยอมรับว่าเป็นฝ่ายผิด เท่ากับเปิดช่องให้ฟ้องร้องได้สะดวกขึ้น เพราะฉะนั้นจึงควรปิดปากแน่นไม่ให้คำขอโทษหลุดรอดออกมาได้

    แต่บ่อยครั้งการปิดปากเช่นนั้นกลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น เพราะยั่วยุให้อีกฝ่ายหมายมั่นจะเอาชนะให้ได้ ความขัดแย้งนั้นไม่จำต้องเป็นเรื่องแพ้-ชนะเสมอไป แต่เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดจะปกป้องตัวเองเพราะกลัวเป็นฝ่ายแพ้ อีกฝ่ายก็ถูกผลักดันให้ต้องเป็นฝ่ายรุกเพื่อจะเอาชนะ ใช่หรือไม่ว่า ยิ่งกลัวว่าจะเป็นฝ่ายแพ้ กลับยิ่งผลักไสให้ตนเองอยู่ในสภาพตั้งรับจนเป็นฝ่ายแพ้ในที่สุด

    แทนที่จะคิดแต่เรื่องแพ้-ชนะ ซึ่งนำไปสู่การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย จะดีกว่าไหมหากมองว่าทั้งเราทั้งเขาล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์หรือร่วมชะตากรรม ความสูญเสียของอีกฝ่ายคือความสูญเสียของเราด้วย การตายของเด็ก ไม่ใช่เป็นแค่ความสูญเสียของแม่เท่านั้น แต่ยังเป็นความสูญเสียของหมอ ความรู้สึกเช่นนี้จะทำให้เราเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น และยิ่งเห็นอกเห็นใจกันมากเท่าไร ก็สามารถเปิดใจกันได้มากเท่านั้น ถึงตอนนั้นคำขอโทษก็ออกมาเองโดยไม่ต้องพยายามแต่อย่างใด

    ความขัดแย้งไม่สามารถยุติได้ด้วยผลแพ้-ชนะ (เพราะผู้แพ้ย่อมหาทางเอาชนะในที่สุด) แต่สามารถคลี่คลายได้เมื่อความเป็นมิตรบังเกิดขึ้น จริงอยู่อีกฝ่ายอาจไม่ยอมเป็นมิตรกับเรา โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นเราเป็นฝ่ายผิด แต่เมื่อเราเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนด้วยการกล่าวคำขอโทษ คำสามคำที่ออกมาจากใจจริงนี้แหละที่สามารถเปิดใจเขาให้ยอมรับไมตรีจากเราได้ในที่สุด อีกทั้งยังเปิดใจเขาให้ความดีภายในได้พรั่งพรูออกมา ดังเช่น “คู่กรณี” ของสมศักดิ์ ซึ่งแสดงความเอื้อเฟื้อด้วยการให้ทางสมศักดิ์ขึ้นหน้า แทนที่จะแย่งแซงอย่างตอนแรก
    คำขอโทษนั้นมิได้ส่อถึงความอ่อนแอ แต่ออกมาจากจิตใจที่กล้ายอมรับผิด และกล้าที่จะปฏิเสธบัญชาของอัตตาที่เต็มไปด้วยอหังการ แน่นอนทีแรกอาจรู้สึกกระดากหรือกลัวเสียหน้า แต่เมื่อกล่าวคำขอโทษ สิ่งที่จะเสียก็คืออหังการของอัตตา ส่วนสิ่งจะได้มาคือมิตรภาพ รวมทั้งความเป็นมนุษย์ที่รู้จักเห็นอกเห็นใจและมีสำนึกในความผิดชอบชั่วดี

    ปากแข็งมีแต่ทำให้ให้ใจแข็งกระด้าง หาได้ช่วยให้เราเข้มแข็งแต่อย่างใดไม่
    :- https://visalo.org/article/kidFamily254807.htm

     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ความมั่นคงของชีวิตความจริงที่ต้องรู้
    พระไพศาล วิสาโล
    ชีวิตจะมีคุณค่า ย่อมเกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์หรือการเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอย่างถูกต้อง

    เมื่อเราอยู่คนเดียวอาจรู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยมีคุณค่า แต่ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยและมีการเอื้อเฟื้อเกื้อกูล มีความผูกพันกัน เราจะรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าขึ้นมาทันที ดังนั้นคุณค่าของชีวิต ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เรามีสัมพันธภาพกับผู้อื่น มีความผูกพัน มีความเอื้ออาทรกัน

    มีคนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะวัยรุ่น ที่ไม่รู้ว่าชีวิตมีค่าและมีความหมายอย่างไร จึงใช้ชีวิตแบบเคว้งคว้าง ไม่มีทิศทาง ปล่อยตัวไปตามยถากรรมเหมือนกับสวะที่ลอยไปตามน้ำ สุดแท้แต่อะไรจะพาไป บางคนใช้ชีวิตอย่างเสี่ยงอันตราย เช่น พวกขับรถซิ่ง เอาชีวิตที่มีคุณค่าไปแขวนไว้กับเกมส์กีฬาที่อันตราย บางคนเป็นมือปืนรับจ้างเสี่ยงอันตราย ไม่กลัวตาย แต่เมื่อคนเหล่านี้มีครอบครัว มีภรรยา มีลูก ก็จะเริ่มรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องรู้จักถนอม จะใช้ชีวิตแบบเสี่ยงอันตรายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว เขาจะรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า ไม่เพียงอยากถนอมชีวิตเอาไว้ แต่ยังอยากเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น หลายคนเลิกอาชีพมือปืนและหันไปประกอบสัมมาอาชีวะ

    ถ้าเราได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น หรือพบว่าถ้าหากไม่มีเรา เขาอยู่ไม่ได้ เราจะรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า มีความหมาย

    มีนักแสดงหญิงฮอลลีวู้ดคนหนึ่งเคยประสบความสำเร็จในอาชีพนักแสดง แต่หลังจากนั้นก็ตกต่ำลง เล่นหนังเรื่องไหนก็ไม่ประสบความสำเร็จ ซ้ำยังมีปัญหาชีวิต แฟนทิ้ง รู้สึกเสียใจ หันไปหาเหล้า จนติดเหล้า ชีวิตก็ยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า เหมือนสวะ เพื่อนพยายามช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนปกติ ให้เห็นคุณค่าของตัวเอง เธอก็ทำไม่ได้

    วันหนึ่งเพื่อนเอาลูกแมว ๒ ตัวมาให้เธอเลี้ยง ทีแรกก็ไม่สนใจ ไม่ต้องการมีภาระผูกพัน แต่ว่าสงสารมันจึงรับเอาไว้ เมื่อรับมาแล้วก็ต้องดูแล ต้องหานมมาให้มันกิน ต้องหาผ้าห่มมาให้ เธอ รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบมัน เมื่อก่อนไปเตร็ดเตร่ที่ไหน จะกลับบ้านเมื่อไรก็ได้ ไม่กลับก็ได้ แต่พอมีลูกแมวก็ต้องคิดถึงมัน จะไปเที่ยวสำมะเลเทเมาเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ต้องกลับบ้านเป็นเวลา เพื่อมาให้นมแมว ดูแลมัน ไม่นานก็รู้สึกผูกพันกับมันมาก ชีวิตเธอก็เริ่มเป็นระบบระเบียบมากขึ้นเพราะมีแมวที่ต้องเลี้ยงดู ทีละน้อย ๆ เธอรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า อย่างน้อยก็มีคุณค่ากับลูกแมว ๒ ตัวนี้ จากจุดเล็กๆ ชีวิตเธอก็ค่อย ๆ เปลี่ยน เธอกินเหล้าน้อยลง จนเลิกเหล้าได้ ไม่ใช้ชีวิตแบบสำมะเลเทเมาอย่างก่อน ในที่สุดก็กลับมามีชีวิตเหมือนคนทั่วไป และตั้งอกตั้งใจทำงาน จนมีชีวิตที่ผาสุก

    จะเห็นว่าคุณค่าของชีวิตคนเกิดขึ้นจากความผูกพัน และการเอื้ออาทรต่อกัน
    เมื่อเราเอื้ออาทรเขา เราก็รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าต่อเขา
    เมื่อเรามีคุณค่าต่อเขา เราก็รู้สึกว่าเรามีคุณค่าต่อตัวเองด้วย

    :- https://visalo.org/article/buddhika51.html

     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    เปิดเล่ม
    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อหลายเดือนก่อนมีข่าวเกี่ยวกับเศรษฐีอเมริกันคนหนึ่ง เศรษฐีคนนี้ร่ำรวยมาก แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขาโด่งดัง เขาตกเป็นข่าวเพราะเขาบริจาคเงินเพื่อสาธารณกุศลเป็นเงิน ตลอด ๒๙ ปีที่ผ่านมารวมเป็นเงิน ๗,๕๐๐ ล้านดอลลาร์ หรือกว่า ๒ แสนล้านบาท ทั้งนี้โดยทำอย่างเงียบ ๆ ไม่ประกาศตัว

    มีคนใจดีหลายคนที่เป็นข่าวครึกโครมว่าบริจาคเงินก้อนโตเพื่อส่วนรวมหรือเพื่อสาธารณกุศล เช่น บิล เกตส์ ซึ่งรวยเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ชัค ฟีเนย์ บริจาคเงินแบบเงียบ ๆ มานานมาก อย่างนี้ไม่เรียกว่าปิดทองหลังพระ แต่เป็นการปิดทองใต้ฐานพระทีเดียว เขาเป็นเจ้าของร้านขายสินค้าปลอดภาษี ไม่น่าเชื่อว่าธุรกิจนี้จะทำรายได้ให้กับคนคนหนึ่งเป็นแสน ๆ ล้านบาท

    ที่น่าสนใจและแตกต่างจากเศรษฐีใจบุญทั้งหลายที่เรารู้จักก็คือ เขาเป็นคนที่อยู่แบบเรียบง่ายมาก มีเงินเป็นแสน ๆ ล้าน รวยกว่าเจ้าสัวในเมืองไทยหลายคน แต่ใช้นาฬิกาถูก ๆ ยี่ห้อคาสิโอ ราคา ๑๕ เหรียญ หรือ๔๕๐ บาท นาฬิกาของคนทั่ว ๆ ไปยังแพงกว่านี้ เขาไม่มีรถส่วนตัว ไปไหนมาไหนก็นั่งรถไฟฟ้าหรือรถไฟ เสื้อผ้าก็แต่งแบบเชย ๆ บ้านก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ส่วนลูกก็เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย เพราะเขาต้องการสอนลูกให้รู้จักพึ่งพาตัวเอง

    เงินที่เขาบริจาคให้แก่ส่วนรวม คิดเป็น ๙๙ เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด หมายความว่า หาเงินมาได้ ๑๐๐ ทำบุญไปถึง ๙๙ บาท ผ่านมูลนิธิที่เขาตั้งขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์ทางด้านสาธารณสุข วิทยาศาสตร์ การศึกษา และสิทธิพลเรือนทั่วโลก อันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่มีความสันโดษ

    สันโดษไม่ได้แปลว่ายากจนหรืออยู่อย่างเรียบง่ายตามที่เราเข้าใจเท่านั้น บางคนสันโดษแบบกินน้อย ใช้น้อย แล้วก็เลยหาน้อยไปด้วย สันโดษไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสมอไป ถึงแม้ใช้น้อย กินน้อย แต่ถ้าหามากก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้หามากเพื่อเอาเข้าตัวเอง แต่เป็นการหามากทำมากเพื่อช่วยเหลือส่วนรวม เดี๋ยวนี้เรามักเข้าใจว่าสันโดษคือความพอเพียง ไม่ใช่แค่ใช้พอเพียง แต่รวมถึงทำงานอย่างพอเพียงด้วย หมายความว่ากินน้อย ใช้น้อย ก็เลยทำน้อยไปด้วย เช่น ใช้เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ก็หาแค่ ๓,๐๐๐ บาทก็พอ แล้วเวลาที่เหลือเอาไปทำอะไร เวลาที่เหลือก็นั่งเล่น นอนเล่น อย่างนี้ไม่ใช่สันโดษในทางพระพุทธศาสนา

    สันโดษในทางพระพุทธศาสนานั้นจะต้องควบคู่กับความขยันหมั่นเพียร แต่ความขยันดังกล่าวไม่ได้มีจุดมุงหมายปรนเปรอตัวเอง แต่มุ่งช่วยเหลือส่วนรวม มีเวลาเหลือก็ไปเป็นจิตอาสา ช่วยเหลือส่วนรวมด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน มีหลายคนที่มีความสามารถ เขาทำมาหาเงินได้นิดหน่อยก็พอแล้ว เพราะใช้น้อย ส่วนเวลาที่เหลือเขาก็ไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้คน อาทิตย์ละ ๓-๔ วันบ้าง หรืออาทิตย์ละวันบ้าง

    สังคมไทยหากมีคนที่สันโดษแบบนี้มาก ๆ ย่อมเจริญก้าวหน้าและสงบร่มเย็นกว่านี้อย่างแน่นอน
    :- https://visalo.org/article/buddhika56.html
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    เปิดเล่ม 2
    พระไพศาล วิสาโล
    ธรรมชาติหรือโลกนี้อยู่ได้เพราะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทั้งนั้น แมลงหรือสัตว์เล็ก ๆ มีคุณค่ามีความสำคัญต่อชีวิตและโลกนี้ อาจจะมากกว่าสัตว์ที่ผู้คนกำลังเป็นห่วง เช่น ปลาวาฬ ช้าง เสือหรือหมีแพนด้าด้วยซ้ำ สัตว์กลุ่มหลังนั้นอยู่ชั้นยอดของปิรามิด ถึงแม้จะมีความสำคัญแต่ถ้าหายไปก็ไม่ส่งผลกระเทือนต่อระบบนิเวศมาก ตรงข้ามกับสัตว์เล็กๆ เช่น ผึ้ง แมงมุม มด หรือแม้แต่แบคทีเรีย หากสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ จะเกิดความวุ่นวายกันทั้งโลก ปัจจุบันเกษตรกรในหลายประเทศกำลังเดือดร้อน เพราะผึ้งหดหายไปมาก ทั้งเพราะเชื้อโรคและสารพิษจากมนุษย์ ผึ้งนั้นมีความสำคัญอย่างมากในการผสมเกสร เมื่อขาดผึ้ง ต้นไม้ก็ไม่ออกผล ชาวสวนชาวไร่จำนวนมากมายทั่วโลกต้องหันมาผสมเกสรกับมือเอง

    ธรรมชาติราบรื่นกลมกลืนและมีสมดุลก็เพราะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลาย น้อยคนจะทราบว่าออกซิเจนที่เลี้ยงสิ่งมีชีวิตทั้งโลกและมนุษย์ ๗,๐๐๐ ล้านคนนั้น ส่วนใหญ่มาจากแพลงตอน ซึ่งเป็นจุลชีพในมหาสมุทรทั่วโลก แพลงตอนมีสองประเภท คือ ที่เป็นสัตว์และพืช ถ้าเป็นพืชเรียกว่าไฟโตแพลงตอน อยู่ตามมหาสมุทร นอกจากเป็นอาหารของปลาวาฬแล้ว ยังเป็นตัวการผลิตออกซิเจนเป็นอันดับต้นๆของโลก แม้ว่าจะมีขนาดเล็กมาก แต่มีความสำคัญต่อชีวิตของสัตว์และคนทั้งโลก หากแพลงตอนสูญพันธุ์ไป ก็วุ่นวายกันทั้งโลก

    สิ่งเล็กๆ ไม่ใช่ว่าไร้ค่า และสิ่งที่ดูเหมือนไร้ค่า ที่จริงแล้วมีความสำคัญมาก ขอให้เราคำนึงถึงความข้อนี้ อย่าดูถูกสิ่งเล็กน้อย และอย่าดูถูกตัวเองว่าไม่มีคุณค่า ไร้ความสำคัญ เราแต่ละคนมีความสำคัญและความสามารถทั้งนั้น อยู่ที่ว่าสำคัญเรื่องไหน สามารถเรื่องอะไร ในทำนองเดียวกันคนอื่นก็สำคัญเช่นกัน อย่าดูถูกว่าเขาต่ำต้อยไร้ค่า หากคิดเช่นนั้นเราอาจเสียใจในภายหลังก็ได้

    ความดีก็เช่นกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อย่าประมาทความดีแม้เพียงเล็กน้อย” การทำความดี หรือทำสิ่งถูกต้อง ในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งสำคัญมาก อย่าดูแคลนว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย การช่วยพาคนตาบอดจูงมือข้ามถนน อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเรา แต่มีความหมายอย่างมากต่อเขามาก ใช่แต่เท่านั้นมันยังบ่มเพาะจิตใจของเราให้มีความเมตตากรุณา อ่อนโยน หากทำบ่อย ๆ ก็สามารถเปลี่ยนเราให้กลายเป็นคนใหม่ ที่เพียงแค่ทำความดีก็มีความสุขแล้ว

    หากอยากเป็นคนที่มีความสุขง่าย มีความทุกข์ได้ยาก พึงหมั่นทำความดี แม้เล็กน้อยก็ไม่ละเว้น จนกลายเป็นวิถีชีวิต
    :- https://visalo.org/article/buddhika55.html
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    มีโชคให้เป็น
    By : สามสลึง

    สามีภรรยาคู่หนึ่งแต่งงานมา ๑๕ ปีแล้ว ยังไม่มีลูก จึงไปปรึกษาเรื่องนี้กับญาติผู้ใหญ่ซึ่งเป็นหลวงจีนที่วัดเล่งเน่ยยี่ หลวงจีนนึกขึ้นได้ว่าที่เมืองซัวเถามีเจ้าแม่กวนอิมซึ่งใคร ๆ ก็นิยมไปขอลูกจากท่าน ส่วนใหญ่มักจะไม่ผิดหวัง

    “หลวงพ่อกำลังจะไปแสวงบุญที่ซัวเถาอยู่พอดี หลวงพ่อจะไปจุดเทียนอธิษฐานขอเจ้าแม่กวนอิมให้”

    สามปีต่อมา หลวงจีนกลับมาบ้านเห็นหญิงผู้เป็นภรรยากำลังตั้งท้องแถมยังต้องดูแลลูกแฝดถึงสองคู่ จึงถามหาสามีเพื่อจะได้แสดงความยินดี

    “เขาไม่อยู่หรอกค่ะหลวงพ่อ เขาไปซัวเถา”

    “อ้าว ไปทำอะไรที่นั่นล่ะ?” หลวงจีนถาม

    “ไปดับเทียนค่ะ” ภรรยาตอบ

    โชคหรือพรนั้นใคร ๆ ก็อยากได้ เพราะถือเป็นเรื่องดีทั้งนั้น แต่ถ้าได้มาก ๆ อาจจะกลายเป็นไม่ดีก็ได้ อย่างสามีภรรยาคู่นี้ ทีแรกก็อยากมีลูก แต่พอติดลูกไม่หยุด ก็กลายเป็นปัญหาขึ้นมา

    มีบางคนขอพรให้มีอายุยืน แต่พออายุเกินร้อย ก็หามีความสุขไม่ บ่นอยากตายด้วยซ้ำ เพราะได้แต่นอนแบบอยู่บนเตียง ปวดโน่น ปวดนี่ จะกินจะถ่ายก็ต้องมีคนช่วย ทำอะไรเองไม่ได้เลยสักอย่าง

    ทรัพย์สินเงินทองก็เหมือนกัน ใคร ๆ ก็อยากได้ ทำบุญครั้งใดก็ขอให้มั่งคั่ง ถูกหวย รวยเบอร์ แต่ก็มีหลายคนที่พอได้ลาภก้อนใหญ่มาแล้ว กลับไม่มีความสุข เมื่อปีที่แล้วมีพ่อค้าเร่คนหนึ่งถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ได้เงินมา ๒๐ ล้านบาท ทีแรกก็มีความสุข แต่ผ่านไปแค่เดือนเดียวก็มีข่าวว่าฆ่าตัวตาย เดชะบุญลูกช่วยชีวิตไว้ได้ เขาเปิดเผยว่าที่ฆ่าตัวตายก็เพราะเครียดจัด เนื่องจากใครต่อใครก็พากันมาขอเงินจากเขา ให้ไปแล้วก็ยังไม่พอใจ หาว่าให้น้อย บางคนไม่ได้ต่อว่าเฉย ๆ หากยังขู่ว่าจะฆ่าให้ตายทั้งผัวทั้งเมีย เขาก็เลยคิดว่าตายไปเสียดีกว่า เขายอมรับว่า “ตอนที่หาเช้ากินค่ำ ยังมีความสุขกว่าเป็นไหน ๆ”

    ที่สหรัฐอเมริกามีรายหนึ่งได้ลาภมหาศาลกว่า ๓,๐๐๐ ล้านบาทจากการแทงล็อตเตอรี่ ปรากฏว่าหลังจากนั้นชีวิตก็มีแต่เรื่องวุ่นวาย ขโมยเข้าบ้านนับครั้งไม่ถ้วน ที่ร้ายกว่านั้นก็คือสามีก็กลายเป็นคนติดเหล้า เพราะเอาแต่เที่ยวเตร่สนุกสนาน สุดท้ายต้องไปบำบัดรักษาตัว ผู้ที่เป็นภรรยาบอกว่าหากย้อนอดีตได้อยากจะฉีกล็อตเตอรี่ใบนั้นทิ้ง ชีวิตจะได้เป็นปกติสุข

    โชคนั้นอย่าไปนึกว่ามีแต่ดีอย่างเดียว มันมีโทษแฝงอยู่ด้วย คนส่วนใหญ่นั้นมองไม่เห็นโทษของโชค คิดอยากจะได้โชคอย่างเดียว ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับโทษที่แฝงมากับโชค ผลก็คือถูกโชค “กัด”เอา นี้ก็เช่นเดียวกับความสุขซึ่งมักมีทุกข์แฝงอยู่ อาหารอะไรก็ตามที่คิดว่าอร่อย ลองกินเข้าไปทุกมื้อสักหนึ่งเดือนดู จะยังรู้สึกอร่อยอยู่หรือเปล่า เพลงใดก็ตามที่คิดว่าไพเราะ ลองฟังไปสัก ๑๐๐ เที่ยว จะยังรู้สึกว่าเพราะอยู่ไหม ท่าไหนที่คิดว่าสบาย ลองอยู่ในท่านั้นสัก ๗-๘ ชั่วโมงหรือตลอดวัน จะยังรู้สึกสบายอยู่หรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นมีโชคอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องรู้จักใช้โชคหรือมีโชคให้เป็นด้วย มีสุขอย่างเดียวก็ยังไม่พอ ต้องรู้จักมีสุขให้เป็นด้วย (เช่น รู้ว่าแค่ไหนควรพอ และตระหนักว่ามันอาจแปรเปลี่ยนไปไดทุกเวลา จึงไม่ควรไปลุ่มหลงหรือยึดติดกับมัน) อย่าปล่อยให้โชคหรือความสุขเล่นงานเอาจนไม่เป็นผู้เป็นคน

    โชคนั้นมีข้อเสียฉันใด เคราะห์ก็มีข้อดีฉันนั้น คนเราไม่สามารถหลีกหนีเคราะห์ได้ ดังนั้นถ้าอยากอยู่อย่างมีความสุข ก็ต้องรู้จักเห็นข้อดีของเคราะห์ด้วย อะไรก็ตามที่ไม่ถูกใจเรา ลองมองให้ดี จะเห็นข้อดีของมัน อย่างน้อยมันก็ยังดีที่ไม่แย่ไปกว่านี้

    นักธุรกิจระดับร้อยล้านคุยกันเรื่องความสามารถของหนุ่มสาวสมัยใหม่

    “ลูกน้องของผมคนหนึ่งทำเอาผมปวดหัวมาก เพราะชอบผิวปากเวลาทำงาน” นักธุรกิจคนหนึ่งบ่น

    “คุณโชคดีแล้ว” เพื่อนว่า “ของผมน่ะ แค่ผิวปากอย่างเดียว”

    :- https://visalo.org/article/sarakan254803.htm
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    เหนือเป็นเหนือตาย
    พระไพศาล วิสาโล
    มีเรื่องเล่าว่าครูคนหนึ่งสอนหนังสืออยู่แถววัดสระเกศ วันหนึ่งรู้สึกกลุ้มใจจึงเดินขึ้นไปบนภูเขาทอง พอถึงยอดภูเขาทองแล้วมองออกไปไกล ๆ เห็นโลกกว้างสุดสายตา ก็รู้สึกเบาสบาย ความกลุ้มใจก็คลายไป ทีนี้พอแกเครียดทีไรก็จะขึ้นไปบนภูเขาทอง ขึ้นแล้วก็รู้สึกโปร่งโล่งเบาสบาย บางวันขึ้นสองสามรอบ ทำเช่นนั้นเป็นปี

    เผอิญมีนักข่าวคนหนึ่งไปเที่ยวภูเขาทอง ได้ยินเรื่องเล่าจากเจ้าหน้าที่ที่นั่นว่ามีครูคนหนึ่งขึ้นภูเขาทองวันหนึ่งไม่รู้กี่เที่ยว ก็เลยสนใจไปทำข่าว พอเรื่องราวของเขาตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เขาก็ได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ จึงดังเข้าไปใหญ่ ได้รางวัลหลายรางวัล ได้รับสมญานามว่าเป็นนักขึ้นภูเขาทองที่ไม่มีใครเทียบทาน


    ถึงตอนนี้ก็มีหลายคนอยากเป็นนักขึ้นภูเขาทองบ้าง หลายคนอยากลบสถิติของเขาซึ่งขึ้นภูเขาทองมาเป็นพัน ๆ ครั้ง ครูคนนี้ทีแรกขึ้นภูเขาทองโดยไม่ได้นึกอะไรแต่พอมีคนยกย่องว่าเขาเป็นนักขึ้นภูเขาทอง ความรู้สึกว่าฉันเป็นนักขึ้นภูเขาทองก็เกิดขึ้นกับครูคนนี้ พอรู้ว่ามีคนจะมาลบสถิติ ก็เลยไม่สบายใจ เพราะกลัวว่าความเป็นนักขึ้นภูเขาทองจะถูกแย่งชิงไป เขาจึงต้องขึ้นภูเขาทองให้บ่อยขึ้น แต่เดิมขึ้นแล้วมีความสุข สบายใจ แต่ตอนนี้กลายเป็นหน้าที่ไปแล้ว ต้องขึ้นเพื่อที่จะไม่ให้ใครมาลบสถิติหรือแย่งชิงตำแหน่งนักขึ้นภูเขาทองไป เขาเป็นทุกข์ยิ่งขึ้นเมื่อมีคนหนึ่งขึ้นภูเขาทองมากเกือบเท่าเขา ถึงตอนนี้เขาก็เริ่มนอนไม่หลับ คิดแต่ว่าจะต้องขึ้นให้บ่อยขึ้นแม้งานจะเยอะก็ตาม

    นี่เป็นเรื่องแต่งที่เขียนขึ้นโดยชาติ กอบจิตติ แต่ว่าก็สอดคล้องกับชีวิตจริงของคนเรา คนเราเวลาทำอะไรก็ตามถ้าไม่ได้นึกว่าฉันเป็นนั่นเป็นนี่ก็ไม่ทุกข์นะ แต่พอรู้สึกว่าเป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมาก็เป็นทุกข์ อย่างเช่นครูในเรื่องนี้ ตอนแรก ๆ ขึ้นภูเขาทองโดยไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนักขึ้นภูเขาทอง แต่พอผู้คนเรียกขานว่าเขาเป็นนักขึ้นภูเขาทอง ก็เลยเกิดความรู้สึกขึ้นมาจริง ๆ ว่าฉันเป็นนักขึ้นภูเขาทอง พอคิดแบบนี้แล้วก็ไม่อยากสูญเสียความเป็นนักขึ้นภูเขาทอง ดังนั้นจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาตัวตนอันนี้ไว้

    เพราะเหตุนี้ถึงบอกว่าความมีความเป็นทำให้เราทุกข์ได้ มีก็ทุกข์ เพราะอยากจะรักษาเอาไว้ไม่ให้มันหายไป พอหายไปก็ทุกข์อีก มีอะไรก็ตาม ถ้าไปยึดมั่นกับมัน ก็ทำให้ทุกข์ แม้จะเป็นสุขแต่ก็มีทุกข์เจือปน พราหมณ์คนหนึ่งพูดกับพระพุทธเจ้าว่า มีโคก็เป็นสุข มีลูกก็เป็นสุข มีบ้านก็เป็นสุข พระพุทธเจ้าก็พูดแย้งว่า มีโคก็ทุกข์เพราะโค มีลูกก็ทุกข์เพราะลูก มีบ้านก็ทุกข์เพราะบ้าน มีอะไรก็ตามก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น โดยเฉพาะเมื่อไปสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็นของฉัน บ้านของฉัน ลูกของฉัน ก็เตรียมทุกข์ไว้ได้เลยเพราะว่าสักวันหนึ่งก็จะต้องพลัดพรากจากสิ่งนั้น ถ้าเราไม่พลัดพรากจากสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็พลัดพรากจากเรา มันก็มีสองอย่างเท่านั้นแหละทันทีรู้สึกเป็นเจ้าของสิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้นจะมีหรือจะเป็นอะไรก็ตามต้องมีหรือเป็นให้ถูกต้อง มีให้เป็น เป็นให้เป็น คือมีโดยไม่ยึดมั่นว่าเป็นของฉัน และเป็นโดยไม่ไปยึดมั่นว่าเป็นตัวฉัน เดี๋ยวนี้เรามีกันไม่เป็น และก็เป็นกันอย่างไม่ถูกต้อง คือเป็นด้วยความยึดมั่นถือมั่น มีด้วยความหลงก็เลยทุกข์ ดีที่สุดก็คือไม่มีไม่เป็นอะไรเลย

    เคยมีคนเห็นพระพุทธเจ้ารูปลักษณะดีก็แปลกใจ ถามว่าท่านเป็นเทวดาหรือ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าไม่ใช่ ถามว่าท่านเป็นคนธรรพ์หรือ พระพุทธเจ้าก็ปฏิเสธ งั้นเป็นยักษ์มั้ย พระพุทธเจ้าก็ปฏิเสธอีก เขาถามว่าท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า พระพุทธเจ้าก็บอกไม่ใช่ ชายคนนั้นงงเลยถามว่าแล้วท่านเป็นใคร พระพุทธเจ้าก็ไม่ตอบตรง ๆ ตรัสว่าให้เรียกเราว่า “ พุทธะ” แล้วกัน เพราะกิเลสที่จะทำให้เราเป็นนั่นเป็นนี่นั้นไม่มีอีกแล้ว ก็เลยไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น

    พระพุทธองค์ไม่ถือว่าพระองค์เป็นอะไรเลย แม้แต่ “ พุทธะ” ก็เป็นสมมุติที่มีไว้เพื่อใช้เรียกเท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ทรงถือว่าพระองค์เป็นอะไรแม้กระทั่งพุทธะด้วยซ้ำ แต่ว่าเพื่อความสะดวกในการสื่อสารก็ให้เรียกพระองค์ว่าพุทธะ อันนี้เป็นตัวอย่างที่ชี้ว่าแม้กระทั่งพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เป็นอะไรทั้งสิ้น ถ้าจะเป็นนั่นเป็นนี่ก็เพราะคนอื่นเรียกทั้งนั้น ในจิตใจของพระองค์ก็ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นอะไร เพราะว่าตัณหามานะหมดไปแล้ว กิเลสที่จะทำให้เป็นนั่นเป็นนี่ก็ไม่มีแล้ว

    ดังนั้นเราจึงควรระลึกอยู่เสมอว่า ไม่ว่าเราเป็นอะไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้น จึงไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น เพราะถ้ายึดมั่นถือมั่นเราก็จะเป็นทุกข์ เพราะตัณหามานะจะแฝงซ่อนอยู่กับความเป็นนั่นเป็นนี่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม เป็นผู้แพ้ก็ทุกข์ เป็นผู้ชนะก็ทุกข์ เป็นคนชั่วก็ทุกข์ เป็นคนดีก็ทุกข์ เป็นนักปฏิบัติธรรมก็ทุกข์ทันทีที่ไปยึดมั่นว่าฉันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ใครที่สำคัญมั่นหมายว่าฉันเป็น นักปฏิบัติธรรม พอมีคนมาพูดว่า “ เธอไม่มีสติเลย ” จะโกรธและเป็นทุกข์มาก ว่าอย่างอื่นไม่ว่ามาว่าฉันไม่มีสติ นี้แหละเป็นเพราะเราไปยึดมั่นสำคัญหมายว่าฉันเป็นนักปฏิบัติธรรม เลยถูกตัณหาที่แฝงอยู่ในความเป็นนักปฏิบัติธรรมเล่นงานเอา

    มองให้เห็นว่าความเป็นนั่นเป็นนี่เป็นสิ่งสมมุติที่ถูกปรุงขึ้นมา ไม่ใช่ของจริง แต่ถึงแม้จะยังมองไม่เห็นว่าเป็นสิ่งสมมุติ อย่างน้อยก็ให้เราตระหนักว่าความเป็นนั่นเป็นนี่มันไม่เที่ยง ถ้าไปยึดมั่นให้มันเที่ยงเราเองนั่นแหละจะเป็นทุกข์ ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรก็ตาม มันไม่เที่ยง ต้องแปรเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้นที่จะถูกคุกคามด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ ทำให้ต้องแปรเปลี่ยนหรือสูญสลายไป

    อย่าให้เกิดการปรุงแต่งจนไปสู่ความทุกข์ ควรเริ่มต้นด้วยการมีสติตั้งแต่ตอนเกิดผัสสะ แต่ถึงแม้สติตามไม่ทันในผัสสะ ก็ขอให้มีสติรู้ทันในเวทนา และในอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เห็นความโกรธเกิดขึ้น ความอยากเกิดขึ้น แต่ไม่เข้าไปเป็นผู้โกรธผู้อยาก

    แม้กระทั่งความทุกข์เมื่อเกิดขึ้นก็เห็นความทุกข์ แต่ไม่ใช่เป็นผู้ทุกข์ เมื่อตากระทบรูป การเห็นเกิดขึ้น แต่อย่าให้มีฉันเป็นผู้เห็น เมื่อหูได้ยินเสียง การได้ยินเกิดขึ้น แต่อย่าให้มีฉันเป็นผู้ได้ยิน เพราะถ้ามีตัวฉันเป็นผู้ได้ยิน เดี๋ยวก็มีตัวฉันเป็นผู้ทุกข์เพราะได้ยินเสียงดัง หรือคำตำหนิ เวลาร่างกายมีแผล ก็รู้ว่ามีแผลเกิดขึ้นกับร่างกาย อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่าฉันมีแผล มีดบาดนิ้วก็ให้รู้ว่ามีดบาดนิ้วไม่ใช่ไปปรุงแต่งว่ามีดบาดฉัน อย่าปล่อยให้มีตัวฉันหรือตัวกู เพราะถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว ก็จะมีตัวฉันเป็นผู้ทุกข์ในที่สุด หรือมีตัวฉันเป็นผู้รับแรงกระทบกระแทกต่าง ๆ ถ้าไม่มีตัวฉันเกิดข้นแล้ว เราจะมีชีวิตที่โปร่งเบา เป็นอิสระ ความทุกข์ไม่มีที่ตั้ง เพราะไม่มีตัวฉันมาเป็นเจ้าของความทุกข์ ใหม่ ๆ เรายังไม่สามารถที่จะมองเห็นตรงนี้ได้ แต่ว่าเมื่อเราดูและเห็นอยู่เรื่อย ๆ ปัญญาหรือความประจักษ์ในความจริงเหล่านี้ก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ชัดเจนขึ้น แล้วเราก็จะรู้ว่า เราทุกข์เพราะปล่อยให้ตัวกูของกูเกิดขึ้นโดยแท้ นี่แหละคือต้นแห่งความทุกข์ทั้งปวง

    (ตัดทอนจากคำบรรยาย ณ วัดป่ามหาวัน วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๙)
    :- https://visalo.org/article/D_NerPenNerTay.htm

     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ความสำเร็จคือจุดเริ่มต้นแห่งความล้มเหลว
    พระไพศาล วิสาโล
    ย้อนหลังไปเมื่อ ๒,๗๐๐ ปีก่อน โรมเป็นเพียงนครรัฐเล็ก ๆ บนฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ที่ปกครองโดยกษัตริย์ แต่เมื่อเปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบสาธารณรัฐ ในปี ๕๐๙ ก่อนคริสตกาล อนาคตของโรมและของโลกตะวันตกก็เปลี่ยนไปด้วย โรมได้กลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ มีแสนยานุภาพทางทหารอันเกรียงไกร อีกทั้งมีนวัตกรรมทางกฎหมาย ศิลปะ สถาปัตยกรรม และวิศวกรรมที่ล้ำยุค ซึ่งมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อโลกตะวันตกต่อเนื่องนานนับพันปี
    ความสำเร็จอันน่าทึ่งส่วนหนึ่งมาจากระบอบการเมืองที่มีการตรวจสอบและถ่วงดุลอย่างเข้มข้น ทำให้ชนชั้นนำยากที่จะใช้อำนาจตามอำเภอใจเพื่อตนเองหรือพวกพ้องได้ การตัดสินใจทางการเมืองและการทหารจึงมุ่งประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก หรืออย่างน้อยก็ต้องโน้มน้าวให้ผู้คนยอมรับว่าชนชั้นนำทำไปเพื่อสาธารณรัฐ

    โรมได้ขยายดินแดนด้วยการทำศึกสงครามหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดที่สำคัญเท่ากับการทำศึกกับอาณาจักรคาร์เธจ ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางทะเล และคุมจุดยุทธศาสตร์ในทะเลเมดิเตอเรเนียน คาร์เธจเป็นอริที่น่าเกรงขามที่สุด เพราะเคยสร้างความบอบช้ำแก่โรมถึง ๒ ครั้ง ๒ ครา แม้ไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด ในปี ๑๔๖ ก่อนคริสตกาล สงครามครั้งที่ ๓ เกิดขึ้นโดยโรมเป็นฝ่ายบุกโจมตีคาร์เธจก่อน และสามารถเอาชนะได้ในที่สุด คาร์เธจถูกทำลายจนพินาศ ไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก

    เหตุผลข้อหนึ่งที่ชนชั้นนำของโรมอ้างเพื่อทำสงครามครั้งที่ ๓ กับคาร์เธจ ก็คือ คาร์เธจเป็นพวกชั่วร้าย ตระบัดสัตย์ คดโกง และโหดเหี้ยม บูชายัญแม้กระทั่งเด็กเล็ก กล่าวอีกนัยหนึ่งคาร์เธจเป็นพวกที่ต่ำกว่ามนุษย์ แต่เมื่อโรมชนะสงคราม ยึดเมืองคาร์เธจได้ แม่ทัพถูกสั่งให้ทำลายคาร์เธจจนวายวอด กองเพลิงลุกท่วมคาร์เธจตลอด ๑๐ วัน ๑๐ คืน ตามมาด้วยการรื้อกำแพงเมืองและอาคารทั้งหลายจนไม่เหลือซาก ใช่แต่เท่านั้นยังมีการสังหารผู้คนอย่างโหดเหี้ยมทั้งระหว่างและหลังสงคราม คาร์เธจซึ่งเคยมีประชากรถึง ๑ ล้านคน เหลือผู้รอดชีวิตเพียง ๕๐,๐๐๐ คน ทั้งหมดนี้ถูกกวาดตอนไปเป็นทาส จุดหมายคือเพื่อทำลายเมืองนี้ให้สูญสิ้นไป ไม่ให้เป็นก้างขวางคอโรมอีกต่อไป นับเป็นการทำลายเมืองและวัฒนธรรมอย่างถอนรากถอนโคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคโบราณ

    โรมนั้นถือตัวว่าเป็นอาณาจักรที่มีอารยธรรม และมีคุณธรรมสูงส่งกว่าคาร์เธจ การศึกครั้งนี้ถูกป่าวประกาศว่าเป็นการมากำราบอาณาจักรที่เสื่อมทรามและฉ้อฉล เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสรภาพ ความยุติธรรม กับทรราชย์ (ผ่านมากว่า ๒,๐๐๐ ปีเหตุผลนี้ก็ยังไม่ล้าสมัย) แต่สิ่งที่โรมทำกับคาร์เธจนั้นกลับบ่งบอกสิ่งตรงกันข้าม ใช่หรือไม่ว่า ยิ่งเราเห็นอีกฝ่ายเลวร้ายมากเท่าไร เราก็มีแนวโน้มที่จะทำสิ่งเลวร้ายไม่น้อยกว่าเขา ด้วยอำนาจของความเกลียดและหลงตัวลืมตน

    หลังจากสิ้นคาร์เธจ โรมได้กลายเป็นมหาอำนาจแต่ผู้เดียวในทะเลเมดิเตอเรเนียน และสามารถขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวาง กล่าวได้ว่าการทำศึกพิชิตคาร์เธจคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่ความยิ่งใหญ่ของโรมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่มองอีกแง่หนึ่งชัยชนะในสงครามครั้งนั้นก็ได้สร้างปัญหาให้แก่โรมในเวลาต่อมา เพราะเมื่อไม่มีคู่แข่งอย่างคาร์เธจคอยถ่วงดุล โรมจึงใช้อำนาจตามอำเภอใจมากขึ้นกับเมืองน้อยเมืองใหญ่ และทิ้งหลักการต่าง ๆ ที่โรมเคยยึดถือ ซึ่งล้วนเป็นหลักการที่สร้างความรุ่งเรืองให้แก่โรม เช่น การยึดถือในเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และความยุติธรรม

    จะว่าไปแล้วนี้เป็นปัญหาที่ชนชั้นนำบางคนในสภาซีเนตเวลานั้นมองเห็น และเคยท้วงติงคัดค้านการทำสงครามบดขยี้คาร์เธจ ชนชั้นนำกลุ่มนี้เห็นว่าโรมจำต้องมีอาณาจักรที่เข้มแข็งอย่างคาร์เธจไว้เพื่อทัดทานไม่ให้โรมมีอำนาจมากเกินไป หาไม่แล้วอำนาจที่ล้นเหลือจะทำให้โรมเกิด “ความละโมบ” และทำลาย “เกียรติยศ การรักษาสัจจะ และคุณธรรมอื่น ๆ” แซลลัสท์ (Sallust) นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันซึ่งบันทึกเหตุการณ์ดังกล่าว พูดไว้อย่างตรงจุดและชัดเจนว่า “อำนาจและความโลภทำให้เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวาย มันแปดเปื้อนและบ่อนทำลายทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือควรค่าแก่การนับถืออีกต่อไป สุดท้าย(ชาวโรมัน)ก็ทำลายตัวเองจนถึงแก่ความหายนะ”

    หลังจากพิชิตคาร์เธจได้ไม่ถึง ๑๒๐ ปี โรมซึ่งเติบใหญ่ไม่หยุดยั้งก็ประสบวิกฤต มีการแก่งแย่งอำนาจภายในไม่หยุดหย่อน จนเกิดสงครามกลางเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดระบอบสาธารณรัฐก็ถึงแก่กาลอวสานหลังจากดำรงคงอยู่มาถึง ๔๕๐ ปี กว่าจะกลับมามีเสถียรภาพได้ก็ต้องอาศัยผู้นำที่เด็ดขาดในระบอบจักรพรรดิ แต่ความยิ่งใหญ่ของโรมไต่ระดับขึ้นไปอีกได้ไม่นาน หลังจากนั้นภาระของจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ก็กดทับโรมให้ทรุดลงไปเรื่อย ๆ ประกอบกับความลุ่มหลงในอำนาจและความแตกแยกภายในทำให้โรมอ่อนแอลงยิ่งขึ้น จนพ่ายแพ้ต่อกองทัพของ “อนารยชน”ในที่สุด
    ไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญที่ความพินาศของโรม เป็นสิ่งที่เอมิเลียนัส (Aemilianus)แม่ทัพผู้พิชิตคาร์เธจครั้งนั้นได้คาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้หลายร้อยปี ขณะที่เขายืนดูเมืองคาร์เธจจมอยู่ในกองเพลิงนั้น เขาร่ำไห้พร้อมกับรำพึงถึงบทกวีของโฮเมอร์ตอนหนึ่งที่กล่าวถึงความพินาศของกรุงทรอย เมื่อทหารคนสนิทถามว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เอมิเลียนัสตอบว่าสักวันหนึ่งโรมจะต้องประสบชะตากรรมเดียวกับกรุงทรอย
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    ครั้งหนึ่งทรอยและคาร์เธจเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ต้องพบจุดจบอย่างเดียวกัน และแล้วสิ่งที่โรมได้ทำกับคาร์เธจนั้นในที่สุดก็ย้อนกลับมาเกิดกับตัวเอง อาจกล่าวได้ว่าความตกต่ำของโรมเกิดขึ้นเมื่อสามารถพิชิตคาร์เธจได้อย่างสิ้นเชิง ชัยชนะครั้งนั้นแม้จะทำให้โรมขยายอำนาจไปอย่างกว้างขวาง แต่ในความสำเร็จนั้นก็ซุกปัญหาเอาไว้ซึ่งทำให้โรมเสื่อมถอยลงไปเรื่อย ๆ จนถึงแก่ความพินาศ นักบุญออกัสตินซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับที่โรมถูกตีแตก ได้ตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากที่ทำลายเมืองคาร์เธจได้ โรมก็ตกต่ำทางศีลธรรมเป็นลำดับ เพราะเมื่อไม่มีศัตรูให้ต้องกลัว ก็ไม่จำต้องระมัดระวังตัวอีกต่อไป โรมจึงมีเสรีที่จะทำตามความเห็นแก่ตัว สามารถสนองความโลภและความมักใหญ่ใฝ่สูงได้เต็มที่ และนั่นคือที่มาแห่งความหายนะของโรม

    สิ่งที่ถือว่าเป็นความสำเร็จในวันนี้ มักจะหว่านเพาะปัญหาหรือเป็นที่มาของความล้มเหลวในวันหน้า เพราะไม่มีอะไรได้มาเปล่า ๆ ความสำเร็จทุกอย่างนอกจากจะได้มาด้วยการลงทุนลงแรงแล้ว เมื่อได้มาแล้วก็เป็นภาระที่ต้องรักษา ยิ่งสำเร็จมาก ก็ยิ่งเป็นภาระมาก (แม้แต่ดาราซึ่งเป็นที่นิยมล้นหลาม ก็ยังมีเรตติ้งที่ต้องรักษาไว้ไม่ให้ตก) หากภาระนั้นหนักเกินตัวเมื่อใด ก็ล้มทรุดหรือพังครืนเมื่อนั้น

    ใช่แต่เท่านั้น ความสำเร็จมักจะซุกกับดับเอาไว้อย่างหนึ่ง ซึ่งคนส่วนใหญ่มักหลงติด นั่นคือความประมาทหรือความหลงตัวลืมตน ยิ่งสำเร็จมากเท่าไร ก็ง่ายที่จะชะล่าใจหรือทำตามอำเภอใจ ไม่คิดจะฟังคำของใคร ซ้ำยังลุแก่โทสะได้ง่าย ทั้งหมดนี้คือโอชะอย่างดีที่ฟูมฟักความล้มเหลวให้เติบใหญ่ไม่ต่างจากมะเร็งร้าย

    ราชวงศ์ชิงเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีน มักกล่าวกันว่าการใช้อำนาจตามอำเภอใจของซูสีไทเฮาเป็นที่มาแห่งความล่มสลายของราชวงศ์นี้ แต่อันที่จริงความเสื่อมของราชวงศ์นี้เกิดขึ้นมานานแล้ว และหากจะสาวย้อนไปจริง ๆ ก็จะพบว่าจุดเริ่มต้นแห่งความเสื่อมเกิดขึ้นในยุคที่ถือกันว่าเป็นความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดของราชวงศ์นี้ นั่นคือยุคจักรพรรดิเฉียนหลง (ครองราชย์ ค.ศ.๑๗๓๖-๑๗๙๖)
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    Qianlong.jpg
    เฉียนหลงเป็นจักรพรรดิที่ปรีชาสามารถมาก ในยุคของพระองค์ จีนแผ่ขยายอาณาเขตกว้างขวางอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน (แม้กระทั่งจีนยุคปัจจุบันก็ยังเทียบไม่ได้) คลุมไปถึงดินแดนที่เป็นรัสเซียปัจจุบันรวมทั้งมองโกเลียทั้งประเทศ ขณะเดียวกันศิลปะและวรรณกรรมก็เฟื่องฟู เพราะพระองค์เป็นทั้งกวีและผู้คงแก่เรียน

    ๖๐ ปีที่ทรงครองราชย์ ซึ่งนับว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน จีนมีเสถียรภาพทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปลายรัชกาลพระองค์หันมาใส่พระทัยกับศิลปะและสถาปัตยกรรมอย่างเต็มที่ มีการก่อสร้างและต่อเติมพระราชวังกันขนานใหญ่ ขณะเดียวกันราชสำนักก็ใช้ชีวิตกันอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยมากขึ้น เมื่อผนวกกับรายจ่ายอันมหาศาลในการทำศึกสงครามเพื่อขยายอาณาเขตเกือบตลอดรัชกาล เงินในท้องพระคลังจึงร่อยหรอ ประกอบกับมีประชากรเพิ่มขึ้นมากเนื่องจากร้างราจากสงครามกลางเมืองมานาน จึงเกิดปัญหาข้าวยากหมากแพง เพราะพื้นที่ทางการเกษตรมีจำกัด

    แต่นั่นก็ยังไม่เป็นปัญหามากเท่ากับการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่แพร่ระบาดในราชธานี ซึ่งเกิดจากคนใกล้ชิดของจักรพรรดิเอง ความที่ทรงมีอำนาจมากจึงใช้อำนาจอย่างอำเภอใจ โดยให้อภิสิทธิ์มากมายแก่ขุนนางผู้ใกล้ชิดบางคนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิง ขุนนางเหล่านี้ยักยอกฉ้อโกงสมบัติของแผ่นดินอย่างมหาศาล (ว่ากันว่าขุนนางคนหนึ่งที่พระองค์โปรดปรานมากที่สุดมีทรัพย์สมบัติมากกว่าในท้องพระคลังเสียอีก) ทั้งยังรีดนาทาเร้นราษฎร และบั่นทอนแบบแผนการปกครองที่จักรพรรดิคังซี (พระอัยกาของเฉียนหลง)ซึ่งเป็นราชาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง ได้วางรากฐานเอาไว้

    ปัญหาอีกประการที่ทรงทิ้งเอาไว้และลุกลามในเวลาต่อมาก็คือ การใช้นโยบายแข็งกร้าวกับชาติตะวันตก ซึ่งเริ่มแผ่ขยายอำนาจมายังทวีปเอเชีย ความที่ทรงครองราชย์มายาวนานโดยได้รับความสำเร็จนานัปการ จึงเชื่อมั่นในพระองค์เองมาก ไม่ฟังคำทัดทานของใคร และไม่คิดประนีประนอมกับตะวันตก ยิ่งในปลายรัชกาล วัยชราทำให้พระองค์มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมมากขึ้น จึงปฏิเสธข้อเรียกร้องทุกอย่างของตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษ ซึ่งต้องการเปิดเมืองท่าแห่งใหม่ในจีนนอกเหนือจากกวางโจว ใช่แต่เท่านั้นยังทรงปฏิเสธที่จะเรียนรู้จากตะวันตกหรือผลักดันให้มีการปฏิรูปเพื่อรับมือกับตะวันตก

    นโยบายดังกล่าวสืบทอดต่อมาอีกหลายทศวรรษโดยจักรพรรดิหลายพระองค์(รวมทั้งซูสีไทเฮาซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการ ๓ จักรพรรดิ) จนนำไปสู่การทำสงครามกับชาติตะวันตก ตามมาด้วยการสูญเสียเมืองท่ามากมายและต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาล ส่วนการฉ้อราษฎร์บังหลวงซึ่งแผ่ขยายไปทั่วราชอาณาจักรก็กระตุ้นให้เกิดกบฏชาวนาอีกมากมาย โดยเฉพาะกบฏไท่ผิง ทั้งศึกนอกและศึกในได้บั่นทอนความชอบธรรมของราชวงศ์ชิงอย่างถึงรากฐาน จนถึงแก่กาลวิบัติ และทำให้ระบอบจักรพรรดิของจีนซึ่งสืบเนื่องมาถึง ๔,๐๐๐ ปีถึงแก่กาลอวสานในปี ๑๙๑๑ (ในขณะที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นคู่อริสามารถรักษาสถาบันจักรพรรดิอันยาวนานไว้ได้เพราะเห็นความจำเป็นของการปฏิรูปการปกครองเพื่อรับมือกับตะวันตก)

    คนที่เก่งและประสบความสำเร็จอย่างสูง หากได้รับความสำเร็จไปนาน ๆ ย่อมง่ายที่จะหลงตัวลืมตน หากไม่หลงใหลได้ปลื้มกับความสำเร็จจนชะล่าใจ ก็มักจะเชื่อมั่นในความคิดและวิธีการของตนอย่างฝังหัว จนไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงหรือเรียนรู้จากคนอื่น แม้สถานการณ์รอบตัวจะแปรเปลี่ยนแต่ก็ยังยืนกรานที่จะทำอย่างเดิม ถึงจุดหนึ่งความคิดและวิธีการดังกล่าวย่อมกลับกลายเป็นปัญหาและนำไปสู่ความล้มเหลวในที่สุด

     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    เฮนรี ฟอร์ด เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความฉลาดปราดเปรื่อง เขาเป็นนักประดิษฐ์ที่พลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งโลก จนรถยนต์กลายเป็นสัญลักษ์ของโลกยุคใหม่ อีกทั้งยังก่อให้เกิดการปฏิวัติในวิถีการผลิตแบบอุตสาหกรรมที่ทำให้อุปกรณ์ความสะดวกทั้งหลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนยุคนี้ ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความสำเร็จของเขาในการผลิตรถยนต์ด้วยต้นทุนที่ต่ำและในเวลาที่รวดเร็ว ทำให้รถยนต์ของเขามีราคาถูกมาก (๑ ใน ๓ ของราคารถยี่ห้ออื่น) รถของเขาซึ่งมีชื่อว่า Model T จึงเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ในชั่วเวลาเพียง ๑๐ ปี ครึ่งหนึ่งของรถที่ขับในสหรัฐอเมริกาคือรถ Model T ส่วนเขาก็กลายเป็นเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก

    Model T เป็นรถที่มีอุปกรณ์ไม่ซับซ้อน ขับง่ายและดูแลรักษาง่าย เอกลักษณ์ของมันคือสีดำล้วน ฟอร์ดเชื่อมั่นในรถรุ่นนี้มาก เพราะมันไม่เพียงเป็นแม่แบบให้รถยี่ห้ออื่น ๆ ลอกเลียนแบบเท่านั้น หากยังเป็นตัวสร้างความรุ่งเรืองมั่งคั่งให้บริษัทฟอร์ดที่เขาก่อตั้งขึ้น เขาจึงไม่ยอมผลิตรถรุ่นอื่นเลย ยิ่งกว่านั้นยังไม่ยอมให้มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงรถรุ่นนี้เลยแม้แต่น้อย กระทั่งสีรถเขาก็ยืนกรานให้ใช้สีดำสีเดียวเท่านั้น (“จะผลิตรถสีใดก็ได้ตราบใดที่มันยังมีสีดำ”คือคำตอบเมื่อวิศวกรและผู้ค้ารถของเขาขอร้องให้เปลี่ยนสีรถบ้าง)

    เป็นเวลานานนับสิบปีที่ฟอร์ดไม่ยอมผลิตรถรุ่นอื่นหรือปรับปรุงรถ Model T ทั้ง ๆ ที่กำไรและส่วนแบ่งตลาดของบริษัทฟอร์ดหดหายลงไปเรื่อย ๆ เนื่องจากคู่แข่งผลิตรถที่มีคุณภาพดีกว่า ขณะเดียวกันรสนิยมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป หันมาใช้รถที่มีเครื่องเครามากขึ้นและสวยขึ้น แต่ฟอร์ดก็ยังใช้วิธีการเดิมในการสู้กับคู่แข่งนั่นคือ ลดราคารถ Model T ให้ต่ำลงเรื่อย ๆ วิธีการนี้แม้จะได้ผลเมื่อปี ๑๙๐๘ แต่เริ่มใช้ไม่ได้ผล ๑๐ ปีหลังจากนั้นเพราะผู้คนมีเศรษฐกิจดีขึ้น จึงสามารถซื้อรถราคาแพงได้

    ผ่านไปถึง ๑๙ ปีฟอร์ดจึงยอมยุติการผลิตรถ Model T และหันไปผลิตรถรุ่นใหม่ แต่สถานะการเงินของบริษัทก็ไม่ได้ดีขึ้นมากนักเพราะฟอร์ดยังคงยืนกรานที่จะใช้วิธีการเดิม ๆ ในการบริหารบริษัท เช่น การปฏิบัติต่อคนงานราวเครื่องจักร (“ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่นั้นใหญ่เกินกว่าที่จะมีความเป็นมนุษย์ได้”) ทำให้คนงานเก่ง ๆ หนีไปอยู่บริษัทอื่น นอกจากนั้น เขายังเป็นคนที่รังเกียจงานนั่งโต๊ะอย่างยิ่ง จึงเป็นปฏิปักษ์กับพนักงานบัญชีและไม่ยอมให้บริษัทมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัญชีเลย ทั้ง ๆ ที่บริษัทมีทรัพย์สินหลายร้อยล้านดอลลาร์ เขาเคยบริหารบริษัทเมื่อแรกตั้งอย่างไร ก็ยังบริหารอย่างนั้นแม้สถานการณ์จะแปรเปลี่ยนไปมากแล้ว

    ฟอร์ดเชื่อมั่นในตัวเองมาก แม้เมื่อโอนตำแหน่งประธานบริษัทให้แก่ลูกชาย เขาก็ยังแทรกแซงการบริหารงานของลูกไม่เลิกรา (เช่นเดียวกับจักรพรรดิเฉียนหลง ที่แม้สละราชบัลลังก์แล้วก็ยังบงการอยู่เบื้องหลังจักรพรรดิองค์ใหม่ซึ่งเป็นพระโอรส) โดยขัดขวางการริเริ่มใหม่ ๆ ทั้งในด้านการบริหารและการผลิต ผลก็คือบริษัทฟอร์ดตกต่ำเป็นเวลายาวนานถึง ๒๐ ปี ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ๑ ปี บริษัทขาดทุนเดือนละ ๑๐ ล้านเหรียญ จนแทบจะอยู่ไม่ได้ การจากไปของเขามีส่วนช่วยให้บริษัทฟอร์ดพ้นจากวิกฤต เฮนรี ฟอร์ดจึงเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายบริษัทของเขา

    ความสำเร็จกับความล้มเหลวนั้นแยกจากกันไม่ออก จะเรียกว่าความสำเร็จคือจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวก็ได้ ทั้งนี้ก็เพราะในความสำเร็จนั้นมีเชื้อแห่งความล้มเหลวซุกซ่อนอยู่ซึ่งพร้อมจะเติบใหญ่ในวันหน้า หาไม่ก็เปิดช่องให้ปัจจัยแห่งความล้มเหลวแฝงตัวเข้ามา (เช่น ความประมาท ความหลงตัวลืมตน การยึดติดกับความคิดเดิมจนไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง) ซึ่งหากไม่รู้เท่าทัน มันก็จะลุกลามขยายตัวจนก่อปัญหาและกลายเป็นความล้มเหลวในที่สุด

    แต่กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ความสำเร็จไม่ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่เที่ยง (อนิจจัง) อีกทั้งไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมไปได้นาน ๆ ไม่นานก็ต้องเสื่อมสภาพไป (ทุกขัง) ความฉลาดปราดเปรื่องหรือความเก่งกล้าสามารถก็เช่นกัน ไม่สามารถหนีกฎอนิจจังไปได้ ยิ่งยึดติดกับวิธีการเดิม ๆโดยไม่เข้าใจถึงความแปรเปลี่ยนของเหตุปัจจัยรอบตัว วิธีการที่เคยสร้างความสำเร็จนั้นแหละกลับจะกลายเป็นปัญหาและพาไปสู่ความล้มเหลวไม่ช้าก็เร็ว

    ผู้ที่รู้เท่าทันธรรมดา จึงไม่หลงเพลินกับความสำเร็จ ขณะเดียวกันก็ไม่ยึดติดถือมั่นกับความคิดและวิธีการเดิม ๆ หากเปิดใจเรียนรู้อยู่เสมอ และตระหนักดีถึงข้อจำกัดของตนเอง เมื่อถึงเวลาก็รู้ว่าควรจะวางมือและเปิดทางให้ผู้อื่นได้แล้ว ไม่สำคัญผิดว่าตนเองเท่านั้นที่เก่งหรือคิดผูกขาดความสำเร็จไว้กับตัวเองคนเดียว หากหลงคิดเช่นนั้นก็จะต้องแพ้ภัยตนเอง และถูกความล้มเหลวทำร้ายจิตใจในที่สุด

    :- https://visalo.org/article/sarakadee255210.htm
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ยิ้มได้แม้พ่ายแพ้
    รินใจ

    “ต๋อง ศิษย์ฉ่อย” หรือวัฒนา ภู่โอบอ้อม เป็นนักสนุกเกอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยวัยเพียง ๑๒ ปีก็สามารถเอาชนะสตีฟ เดวิด ซึ่งเป็นแชมป์โลกในเวลานั้นได้ ต๋องได้เป็นแชมป์สนุกเกอร์สมัครเล่นโลกตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี และเมื่อเล่นเป็นอาชีพ ก็ไต่อันดับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนได้รับการขนานนามว่า “ไทย ทอร์นาโด” ด้วยลีลาการเล่นที่รวดเร็วและแม่นยำ ในเวลาไม่กี่ปีเขา ได้แชมป์การแข่งขันระดับโลก ๓ รายการ เขาทะยานขึ้นสู่อันดับ ๓ ของโลกก่อนถึงวัยเบญจเพสนับเป็นนักสนุกเกอร์คนที่ ๘ ของโลกที่สามารถทำเงินรางวัลได้มากกว่า ๑ ล้านปอนด์

    แต่หลังจากนั้นแค่ ๓ ปีฝีมือของเขาก็ถดถอยลงอย่างผิดรูป ทำให้ตกอันดับอย่างรวดเร็วจนหลุดแม้กระทั่งอันดับที่ ๖๔ ของโลก ชื่อเสียงของเขาค่อย ๆ เลือนหายไปจากวงการสนุกเกอร์ของเมืองไทย จากคนที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นเสมือนเทพเจ้าแห่งวงการสนุกเกอร์ไทยที่แม้แต่หลับตาก็ยังแทงลง ต๋องกลับถูกมองว่าเป็นไอ้ขี้แพ้ที่ไม่มีใครอยากเชียร์อีกแล้ว


    ชีวิตของเขาดูไม่ต่างจากนักกีฬาฝีมือดีของไทยหลายคนที่เคยประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งและโด่งดังถึงขีดสุด แต่แล้วก็พุ่งดิ่งลงมาอย่างรวดเร็วจนหายไปจากความทรงจำของผู้คน จะปรากฏเป็นข่าวอีกทีก็เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น เช่น ประสบอุบัติเหตุ ล้มป่วย หย่ากับภรรยา หรือถูกตำรวจจับกุม ฯลฯ

    การปีนไต่ให้ถึงความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องยาก ใคร ๆ ก็รู้ แต่ที่ยากกว่านั้นก็คือการรักษาความสำเร็จเอาไว้ให้ได้ ข้อนี้ก็มีคนเตือนเอาไว้แล้ว แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรยากเท่ากับการลงจากความสำเร็จได้โดยไม่เจ็บปวด นี้ใช่ไหมที่เป็นบทเรียนสำคัญจากชีวิตจริงของนักกีฬาระดับซูเปอร์สตาร์และคนดังอีกมากมายที่ผ่านมาให้เราเห็นคนแล้วคนเล่า

    ต๋องเป็นคนหนึ่งที่พบว่าเมื่อพลัดตกจากความสำเร็จแล้ว สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ก็ตามมาอีกมากมาย เงินยืมถูกเพื่อนโกงนับสิบล้าน ธุรกิจที่ลงทุนเอาไว้ล้มระเนนระนาด เสียเพื่อนไปมากมาย ฯลฯ แต่เขาต่างจากอีกหลายคนตรงที่ สามารถทำใจยอมรับเหตุการณ์เหล่านี้ได้ การบวชและปฏิบัติธรรมหลังจากถอนตัวจากวงการสนุกเกอร์ ทำให้เขาตระหนักว่า “ทุกอย่างมันไม่แน่นอน....คุณอาจจะรวยเป็นพันล้านวันนี้ แต่พรุ่งนี้คุณอาจจะตายก็ได้” เขามาได้คิดอีกว่าเงินนับร้อยล้านที่เคยมีนั้น เขาไม่เคยเห็นเป็นเงินสดเลย เพราะเป็นแค่ตัวเลขในสมุดบัญชี มันก็แค่ให้ความสุขทางใจในยามที่ได้เห็นตัวเลขเท่านั้น ดูเหมือนเขาจะบอกกับเราว่าเงินนับสิบล้านที่ถูกโกงไปนั้นเป็นแค่ตัวเลขในบัญชีเท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อชีวิตจริง ๆ ของเขาเลย

    เป็นเพราะตระหนักชัดถึงความไม่แน่นอนของโลก เขาจึงยอมรับความพ่ายแพ้ในฐานะนักสนุกเกอร์ได้ ไม่หวนหาอาลัยความสำเร็จอันหอมหวานในวันวานได้ เมื่อได้ไตร่ตรองชีวิตหลังบวชเรียน เขาพบว่ากีฬาสอนหลายอย่างให้แก่เขา นั่นคือ รู้แพ้ รู้ชนะ และรู้จักอภัย ความพ่ายแพ้จึงมิใช่สิ่งเลวร้ายสำหรับเขาอีกต่อไป ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเห็นว่ามันเป็นแค่ความพ่ายแพ้ในเกมกีฬาหรือความล้มเหลวในหน้าที่การงาน ไม่ใช่ความล้มเหลวของชีวิต แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือเขามองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่มีแง่ดีอยู่ไม่น้อย “(สนุกเกอร์)สร้างเรามาได้ มันก็ทำให้เราลงได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปติดยึดอะไรมากนัก มองให้มันธรรมดา นี่แหละชีวิตมันเป็นอย่างนี้เอง ทุกอย่างมันไม่เที่ยง เมื่อก่อนเคยแทงกี่ลูกก็ลง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ลง อ้าว ก็อายุมึงมากแล้วนี่ ก็เป็นธรรมดา จะไปออกคิวเหมือนเดิมได้ไง ถ้าทำได้ แล้วเด็กรุ่นใหม่มันจะไปรุ่งได้ไง ถ้ามึงยังอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้”

    ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา แย่แค่ไหน ก็ยังมีข้อดีอยู่เสมอ สำหรับต๋อง ความพ่ายแพ้ของเขาหมายถึงชัยชนะของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี “ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าตลอดไปหรอก มันก็ต้องมีคลื่นลูกใหม่ ไล่คลื่นลูกเก่า ไม่อย่างนั้นโลกเราจะเจริญเหรอ ถูกไหมครับ” คนที่คิดอย่างนี้ได้ย่อมไม่ใช่คนที่คิดถึงแต่ตัวเอง หากยังคิดถึงแต่คนอื่นหรือส่วนรวมด้วย เป็นเพราะคิดอย่างนี้ได้ จึงสามารถเล่นกีฬาได้อย่างมีความสุข ไม่ว่าตัวเองจะชนะหรือแพ้ก็ตาม ตรงกันข้ามคนที่คิดถึงแต่ตัวเอง ย่อมเป็นทุกข์ทุกขณะที่เล่นกีฬา ต่อเมื่อเล่นจบแล้วได้ชัยชนะถึงจะมีความสุข แต่ก็สุขชั่วคราว เพราะเมื่อถึงคราวที่จะต้องลงแข่งใหม่ จิตใจก็หวั่นไหวเพราะกลัวความพ่ายแพ้

     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,425
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)

    จะว่าไปแล้วมุมมองของต๋องยังสามารถนำไปใช้กับการทำงานเพื่อให้มีความสุขได้ด้วย ทุกวันนี้ผู้คนเคร่งเครียดกับการทำงานเพราะกลัวล้มเหลว ยิ่งคนที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ ยิ่งทำใจยอมรับความล้มเหลวไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ความล้มเหลวเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่ว่าประสบความสำเร็จมามากแค่ไหน ไม่ช้าก็เร็วความล้มเหลวก็ต้องมาเยือนจนได้ การเพียรพยายามเพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลวเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือการรู้จักทำใจเพื่อรับมือกับความล้มเหลวที่จะมาถึง

    การทำใจมิได้หมายความแค่ยอมรับความจริงเมื่อความล้มเหลวเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังรู้จักหาประโยชน์จากความล้มเหลวหรือมองเห็นแง่ดีของความล้มเหลว สำหรับต๋อง ความพ่ายแพ้ทำให้เขาตระหนักชัดถึงความไม่เที่ยงของชีวิต ซึ่งรวมถึงโลกธรรม อาทิ ลาภ ยศ สรรเสริญ หากยังเป็นแชมป์ไม่รู้จักความพ่ายแพ้ เขาก็อาจหลงในโลกธรรมเหล่านี้อีกต่อไป ความพ่ายแพ้ยังสอนให้เขารู้จักชื่นชมยินดีในความสำเร็จของคู่ต่อสู้แม้จะอ่อนวัยกว่า เพราะนั่นหมายถึงความเจริญของโลก แต่ถึงจะไม่ใช่คู่แข่งที่อ่อนวัย เขาก็ยังยิ้มให้ได้เช่นกัน “ทุกวันนี้พอแทงลูกไม่ลงเหรอ ผมยิ้มให้กับลูกที่ผมแทงไม่ลงด้วย แล้วก็ดีใจชื่นชมคู่ต่อสู้เป็นด้วย เล่นแบบนี้เราแฮปปี้กว่า”

    เมื่องานล้มเหลว ควรหรือไม่ที่จะปล่อยให้ใจล้มเหลวด้วย งานล้มแต่อย่าให้ใจล้ม ระหว่างคนที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่องานล้มเหลว กับคนที่ยิ้มได้เมื่อพบกับความล้มเหลว คนไหนที่เป็นสุขและฉลาดกว่ากัน สาเหตุลึก ๆ ที่ทำให้เรายอมรับความล้มเหลวไม่ได้ก็เพราะมันกระทบอัตตาข้างใน อัตตาหรือตัวตนนั้นต้องการประกาศตนว่ากูเก่งกว่า ดีกว่า รวยกว่า สวยกว่า ฯลฯ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำเต็มที่เพียงใด เมื่อประสบกับความล้มเหลวหรือไม่สำเร็จอย่างที่หวัง ตัวที่ทุกข์จริง ๆ คืออัตตา แต่เพราะเราไปหลงเชื่ออัตตา ก็เลยไปเอาความทุกข์ของอัตตามาเป็นของเรา ผลก็คือกินไม่ได้ นอนไม่หลับ และทะเลาะกับผู้คน รวมทั้งเห็นเพื่อนร่วมงานที่เก่งกว่าเป็นคู่แข่งที่จะเก่งเกินหน้าเกินตาเราไม่ได้

    การยินดีและยิ้มให้คู่แข่งที่เก่งกว่าเราหรือชนะเราได้นั้น เป็นวิธีกำราบอัตตาไม่ให้ผยอง และปิดกั้นมิให้ความอิจฉาริษยาเข้ามาครองใจ จึงทำให้เราห่างไกลจากความทุกข์ และมีเวลาให้กับสติปัญญาได้ใคร่ครวญเพื่อปรับปรุงแก้ไขตนเอง รวมทั้งพร้อมรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ อาทิ คำวิพากษ์วิจารณ์

    ต๋องเป็นผู้หนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับคำสรรเสริญล้นหลาม แต่ระยะหลังถูกวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง โดยเฉพาะจากผู้ที่ผิดหวังในตัวเขา แต่เขากลับมองเหตุการณ์เหล่านั้นในแง่ดี “บางคนโดนด่า โดนสบประมาท แล้วไปโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ผมกลับมองว่าเราต้องเรียกคนพวกนี้ว่าเป็นอาจารย์เลย เราต้องผ่านเขาให้ได้ เพราะถ้าเราผ่านไม่ได้ เราไม่มีสิทธิ์ประสบความสำเร็จหรอก”

    ฟังดูทั้งหมดเหมือนเป็นข้อคิดสำหรับผู้แพ้เพื่ออยู่กับความพ่ายแพ้ได้อย่างไม่ทุกข์ แต่ที่จริงแล้วยังเหมาะกับผู้ชนะในวันนี้ที่จะต้องก้าวลงจากความสำเร็จในวันพรุ่งด้วย อย่าลืมว่าการได้ชัยชนะในวันนี้ไม่ยากลำบากเท่ากับการลงจากแท่นผู้ชนะในวันพรุ่ง ทุกวันนี้ตำราว่าด้วย how to สู่ความสำเร็จมีมากมายเต็มแผงหนังสือ แต่แทบไม่มีตำราว่าด้วย how to สำหรับการก้าวลงจากความสำเร็จเลย ผลก็คือโลกนี้เต็มไปด้วยคนที่พลัดตกลงมาจากจุดสูงสุดของชีวิตอย่างเจ็บปวด

    อย่างไรก็ตามต๋อง ศิษย์ฉ่อยวันนี้ไม่ได้เป็นคนที่พร้อมอยู่กับความพ่ายแพ้และทิ้งชัยชนะไว้เบื้องหลัง แต่เขาได้หวนคืนสู่วงการสนุกเกอร์อีกครั้ง และกลับมาเป็นแชมป์ทั้งระดับชาติและระดับทวีป พร้อมกับเตรียมเข้าสู่วงการระดับโลก แต่ครั้งนี้เขามาด้วยลีลาการเล่นที่สุขุม ผ่อนคลายและไม่ขาดรอยยิ้ม จากคนที่ใจร้อน บัดนี้เขาใจเย็นและปล่อยวางมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่เขาบอกตัวเองยามที่เข้าแข่งขันก็คือ “นี่คือแมตช์ที่สำคัญที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเล่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีผลกับเรา”

    เมื่อถึงจุดสูงสุดก็ต้องพร้อมคืนสู่สามัญ เมื่อประสบความสำเร็จถึงขีดสุดก็ต้องพร้อมวางมือเมื่อถึงเวลา หรือไม่ก็ต้องพร้อมยอมรับความล้มเหลวเมื่อมันมาเยือน แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือขณะที่ยังโลดแล่นอยู่ในวงการ ก็ต้องพร้อมลืมความสำเร็จที่ผ่านมาและทำตนเสมือนคนธรรมดา ที่อยู่กับปัจจุบันอย่างดีที่สุด จนเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255209.htm

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2025

แชร์หน้านี้

Loading...