เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 21 มิถุนายน 2025 at 19:39.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,253
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,780
    ค่าพลัง:
    +26,645
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,253
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,780
    ค่าพลัง:
    +26,645
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ วันนี้ทางวัดท่าขนุน โดยแม่ชีชื่น ศรีสองแคว หัวหน้าแม่ชีวัดท่าขนุน จัดงานทำบุญวันเกิดให้กับกระผม/อาตมภาพ ทั้งที่ห้ามแล้วห้ามอีก แต่ก็อยากจะทำ..!

    เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพนั้นถือตามแบบโบราณ ก็คือจัดวันเกิดเฉพาะรอบใหญ่ ๖๐ ปีครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นแล้วก็จะจัดในรอบนักษัตร ๑๒ ปี ก็คือถ้าอยู่ถึงอายุ ๗๒ ปี ๘๔ ปี เหล่านี้เป็นต้น ถึงจะจัดงานวันเกิดสักครั้งหนึ่ง แต่ในเมื่อเจ้าภาพมีจิตศรัทธาที่จะเสียข้าวของเงินทอง ก็แล้วแต่เขาจะจัดกันไป กระผม/อาตมภาพอยู่ที่เมืองจีน ก็ได้แต่อนุโมทนาตามภาพที่ทางวัดได้ส่งมาให้เท่านั้น

    ในเรื่องของวันเกิดนั้น ตั้งแต่สมัยฆราวาส กระผม/อาตมภาพก็ไม่เคยให้ความสำคัญเลย หากแต่ไปให้ความสำคัญกับโยมแม่มากกว่า เนื่องเพราะว่าในสมัยก่อนนั้น วันเกิดของลูก ๆ ก็คือวันที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดของแม่ โดยเฉพาะแม่เป็นจำนวนมากที่เสียชีวิตในระหว่างคลอดลูก..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วันเกิดกระผม/อาตมภาพจึงมักจะพาแม่ไปทำบุญ พาแม่ไปหาของกินอร่อยที่ท่านชอบใจ หรือไม่ก็อยู่คุยกับแม่ ให้แม่ทำอาหารฝีมือเดิม ๆ ของท่านให้เรากินสักมื้อหนึ่ง แม้แต่ตอนที่เป็นทหารแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ยังนอนตักแม่เป็นปกติ แม่ก็ยังบ่นว่า "ยังเห็นเป็นเด็กตัวแดง ๆ ดิ้นกระแด่วกระแด่วอยู่เลย ไม่นึกว่าจะโตขึ้นมาได้ขนาดนี้..!"

    เรื่องของการแสดงความรักต่อพ่อแม่ของตนนั้น ลูก ๆ จำนวนมากไม่กล้าที่จะแสดงออก แต่ว่าไม่ใช่กระผม/อาตมภาพ สำหรับกระผม/อาตมภาพนั้น นอกจากแสดงความรักต่อพ่อแม่ออกมาอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว สำหรับลูก ๆ เมื่อรับเข้ามาแล้ว ก็ยังคงช่วยดูแลเขามาจนตลอดถึงปัจจุบันนี้ อย่างเช่นลูกปุ๊ก (นางสาวสุมาลี ตีรเลิศพานิช) ลูกสาวคนโตที่กระผม/อาตมภาพรับเอาไว้ ตั้งแต่สมัยยังเป็นฆราวาสก่อนบวชนานทีเดียว จนบัดนี้คุณลูกเธออายุ ๖๐ ปี ครบ ๕ รอบไปแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ยังคงดูแลอยู่ตามปกติ

    ลูก ๆ คนอื่นก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าแต่ละคนเมื่อมีครอบครัวแล้วก็ย้ายแยกกันไป โอกาสได้พบเห็นหน้าก็น้อยลง อีกประการหนึ่งก็คือ กระผม/อาตมภาพเป็นพระสงฆ์แล้ว การจะแสดงความรักต่อลูก ๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำได้เหมือนอย่างสมัยที่เป็นฆราวาสอยู่

    จึงขอให้ลูกทุกคนที่ได้ฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนในวันนี้ พยายามแสดงความรักต่อพ่อแม่ของเราอย่างเป็นรูปธรรม ใครที่ไม่กล้าทำ หรือสร้างวีรเวรวีรกรรมเอาไว้มาก ก็ให้หาโอกาสสำคัญ อย่างเช่นว่าวันเกิดของตนเอง วันขึ้นปีใหม่ วันตรุษสงกรานต์ หรือว่าวันเกิดของพ่อแม่ นำเอาพวงมาลัย หรือดอกไม้ ธูปเทียน ไปกราบเท้าขอขมาท่านเสีย ว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่เราเคยล่วงเกินต่อพ่อแม่มา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บัดนี้เราสำนึกในความผิดนั้นแล้ว ขอให้พ่อแม่อโหสิกรรมให้แก่เราด้วย

    ถ้าหากว่าเราสามารถทำอย่างนี้ได้ กรรมเก่าต่าง ๆ จะหลุดไปทันทีถ้าพ่อแม่เอ่ยปากอโหสิกรรมให้ เราก็สามารถที่จะสร้างความดี โดยการที่ดูแลท่านอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างเต็มที่ ไม่เหมือนกับสมัยที่กรรมยังกั้นเราอยู่ ทำให้ไม่สามารถที่จะแสดงออกได้อย่างชัดเจน จะมาเสียใจ หรือว่าเสียดายหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแล้ว..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,253
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,780
    ค่าพลัง:
    +26,645
    สำหรับวันนี้ กระผม/อาตมภาพตื่นขึ้นมาตี ๓ ครึ่งของทางประเทศจีน ถ้าหากว่าเป็นเมืองไทยก็ประมาณตี ๒ ครึ่งเท่านั้น อากาศทางด้านนี้อยู่ที่ ๑๘ - ๑๙ องศาเซลเซียสเท่านั้น นับว่ามาได้ถูกจังหวะ ถูกฤดูกาลอย่างมาก เนื่องเพราะว่าทางมณฑลกานซู่ มณฑลซินเจียงนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นพื้นที่ทะเลทราย หรือว่ากึ่งทะเลทราย อากาศจะร้อนมาก โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน บางปีขึ้นไปถึง ๕๐ กว่าเกือบ ๖๐ องศาเซลเซียส..!

    กระผม/อาตมภาพพยายามที่จะสอบถามจากทางลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) แล้ว คุณลูกเธอบอกว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ดีที่สุด แต่ว่าเป็น "ไฮซีซั่น" จะต้องไปตบตีแย่งชิงทั้งในส่วนของที่พัก รถยนต์ ตลอดจนกระทั่งมัคคุเทศก์ เพราะว่าแต่ละคนล้วนแล้วแต่งานล้นมือทั้งนั้น

    อย่างคุณโบตั๋นบอกว่ารับงานต่อเนื่องมา ๔ ชุด ยังไม่ได้พักเลย..! ถ้าหากว่าสมองไม่ค่อยทำงานก็ต้องขออภัยต่อลูกทัวร์ทุกท่านด้วย การมาในช่วงไฮซีซั่นนั้น อากาศดีเหมาะที่จะเดินทางมาก็จริง แต่ว่าช่วงนี้ทุกอย่างก็จะแพงไปหมด ค่าทัวร์ก็จะสูงกว่าช่วงปกติไปมาก จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายถ้าทำความเข้าใจไม่ได้ ก็จะต้องเป็นคนที่พอจะควักกระเป๋าได้โดยไม่กระทบกระเทือนอะไรเลยเท่านั้น..!

    วันนี้เรานัดปลุกกันตอนตี ๕ ครึ่ง แต่เมื่อโทรศัพท์ปลุก กระผม/อาตมภาพยกออกสองครั้ง ปรากฏว่าทางด้านพนักงานหญิงมาเคาะประตูเรียก แจ้งว่า "ทางคณะให้ปลุกท่านในเวลานี้" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ถอนใจ เนื่องเพราะว่ายังแปรงฟันจนฟองฟอดเต็มปากอยู่..! ได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ เท่านั้น หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็เก็บข้าวของ มาถ่ายรูปต่าง ๆ ตามแต่ที่ตนเองจะชอบใจ โดยเฉพาะหามุมหล่อให้ "เจ้าเสี่ยวหลาง" หมาป่าทิเบตที่ตนเองซื้อมาเมื่อวานนี้

    ครั้นได้เวลา ๖ โมงครึ่งก็ลงไปยังห้องอาหาร ปรากฏว่าเขาเปิดแล้ว จึงได้จัดการกวาดเอาอาหารมาจานใหญ่ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกผักทั้งนั้น เมืองจีนดีที่ว่ากินผักกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แล้วอาหารที่นี่ก็มีเยอะมาก โดยเฉพาะผลไม้สด กระผม/อาตมภาพเจอผลไม้ชนิดหนึ่ง หน้าตาคล้าย ๆ มะเขือ รูปร่างยาวลงไปเล็กน้อย ดูแล้วไม่ทราบว่าเป็นลูกอะไร ก็เลยหยิบติดมือมา เพื่อที่จะลองชิมดูตามประสาบุคคลที่ไม่กลัวของแปลก ครั้นถึงเวลาชิมแล้วก็รู้สึกว่ารสชาติว่าค่อนข้างจะกรอบและฉ่ำน้ำมาก หวานน้อย ๆ เท่านั้นเอง

    เมื่อมีโอกาสถามคุณโบตั๋น ถึงได้บอกว่า"เหรินเซียมก้วย" ซึ่งแปลตรง ๆ ว่า "ลูกโสมคน" กระผม/อาตมภาพจึงนึกถึงพ่อซุนหงอคงที่ขึ้นไปอาละวาดบนสวรรค์ ได้ไปขโมยเอาบรรดาผลไม้วิเศษมากินเล่น ในจำนวนนั้น มีเจ้าเหรินเซียมก้วยอยู่ด้วย แต่ว่ากินไปในลักษณะนี้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะอาการมาลาเรียกำเริบหรือเปล่า ? เนื่องเพราะว่าดูลักษณะแล้วน่าจะเป็นของธาตุเย็น เพราะว่าฉ่ำน้ำเหลือเกิน..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,253
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,780
    ค่าพลัง:
    +26,645
    ครั้นอิ่มหนำสำราญกันแล้ว พวกเราก็ลงไปข้างล่างเพื่อที่จะรอรถ แต่ปรากฏว่ารถมารอพวกเราก่อนแล้ว จึงพากันขึ้นไปจับจองที่นั่ง หลังจากที่พร้อมแล้ว ทางด้านคุณโบตั๋นก็สั่งโชเฟอร์ออกเดินทาง ปรากฏว่าวิ่งไปไม่นาน ฝนก็เริ่มพรำ ๆ ลงมา "ท่านอูฐ" ซึ่งกระผม/อาตมภาพเรียกท่านซาอุด ที่ไม่ทราบเหมือนกันว่าชื่อนี้แปลว่าอะไร ? พ่อเจ้าประคุณบอกว่าถ้าเอาชื่อจีนก็มี เรียกว่า "ซู่อู่" ซึ่งกระผม/อาตมภาพอดที่จะขำไม่ได้ เนื่องเพราะว่าข้าวของเงินทองหรือว่าผู้คนทุกอย่างในโลก ถ้ามาถึงประเทศจีนแล้วก็จะมีชื่อจีนไปเสียหมด บางทีเจ้าของชื่อฟังแล้วยังไม่รู้เลยว่าเป็นตัวเองหรือเปล่า..!?

    พวกเราวิ่งไปประมาณ ๑ ชั่วโมง "ท่านอูฐ" ก็บอกว่ามีอุโมงค์อยู่ข้างหน้า กระผม/อาตมภาพจึงบอกให้ทุกคนช่วยดูไว้เป็นพยาน ปรากฏว่าไม่กี่กิโลเมตรต่อมาก็มีอุโมงค์ให้พวกเรามุดเข้าไปหลบฝน แต่ว่าไม่นานก็โผล่ออกมาเปียกที่อีกด้านหนึ่ง ต้องมุดอุโมงค์ครั้งแล้วครั้งเล่า บางทีก็ยาวนานจนกระทั่งเป็นห่วงว่าคนขับจะหลับหรือเปล่า ? เพราะว่าอุโมงค์บางแห่งนั้นติดป้ายเอาไว้ว่า ๗,๐๐๐ เมตร ก็คือ ๗ กิโลเมตรนั่นเอง..!

    จนกระทั่งโผล่ออกมาอีกฝั่งหนึ่งแล้ว "ท่านอูฐ" ก็บอกว่าข้างหน้าขวามือจะมีห้องน้ำห้องส้วม แล้วก็มี "เหมาหนิวโร่ว" ที่พวกเราอยากได้ด้วย ซึ่งก็คือเนื้อจามรีแห้งนั่นเอง กระผม/อาตมภาพพอบอกไป คุณโบตั๋นก็ค้านสุดตัว บอกว่า "เป็นไปไม่ได้ แถวนี้ไม่เคยมีเนื้อจามรีขาย" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่หัวเราะ ไปรอพิสูจน์เอาก็แล้วกัน..!

    เมื่อรถเลี้ยวเข้าไป ปรากฏว่ายังไม่ทันจะเข้าห้องน้ำเลย ทางด้านหน้าของร้านค้าก็มีพ่อค้ามานั่งหั่นเนื้อจามรีแห้ง ซึ่งมีทั้งอบแห้ง แล้วก็มีทั้งลักษณะเหมือนอย่างกับต้มอัดความดันแล้วใส่ถุงสุญญากาศ ทำเอาพวกเรารี่กันเข้าไปหาแทบจะลืมเข้าห้องน้ำ..! คนโน้นก็สั่ง ๑ จิน คนนี้ก็สั่ง ๑ จิน น้ำหนัก ๑ จินของทางเมืองจีน ที่บางทีพวกเราเรียกว่า ๑ ตำลึง หรือว่า ๑ ชั่งจีนนั้น เท่ากับ ๕๐๐ กรัมของบ้านเรา เมื่อพวกเราได้สั่งซื้อสินค้าเรียบร้อยแล้ว กลับมาขึ้นรถ คุณโบตั๋นถึงได้ยอมแพ้ ถวายเงินทำบุญมา ๒๐ หยวน บอกว่า "ขอฝากเนื้อฝากตัวกับ "ท่านอูฐ" ด้วย" กระผม/อาตมภาพบอกว่า "ไปฝากเอาเองก็แล้วกัน..!"

    พวกเราวิ่งต่อไปท่ามกลางฝนที่ตกหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลายชั่วโมงผ่านไปก็ไปแวะที่ร้านสรรพสินค้าขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง เพื่อให้พวกเราไปเข้าห้องน้ำตามเคย แต่ว่าที่นี่มีสินค้าที่ระลึก ทำเป็นรูปอูฐทั้งตัวใหญ่และตัวเล็ก พี่วิไล (นางสาวณัฐรดา ภูมิธเนศ) ซึ่งเปลี่ยนชื่อมา ๓ ครั้งแล้ว บอกว่า "ขออนุญาตซื้อถวายหลวงพ่อในวันเกิด ๑ ตัว" เมื่อสอบถามดูแล้ว ปรากฏว่าเจ้าอูฐตัวเบ้อเริ่มราคาตัวละ ๘๐ หยวนเท่านั้นเอง..!

    เมื่อกระผม/อาตมภาพเห็นว่า คบหาสมาคมกับพี่เขามา ๔๐ กว่าปีแล้ว พี่เขาก็ยังไม่เคยที่จะได้ให้ของขวัญอะไรเลย เพราะว่ากระผม/อาตมภาพปฏิเสธไปทุกครั้ง ครั้งนี้จึงยอมรับ ทำเอาอีกฝ่ายแทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,253
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,780
    ค่าพลัง:
    +26,645
    เมื่อพวกเรากลับขึ้นรถมา พร้อมกับสินค้าติดไม้ติดมือมา โดยแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีข้ออ้างว่า "มาช่วยทำให้เศรษฐกิจของจีนคล่องตัวขึ้น" โดยมีกระผม/อาตมภาพเป็นผู้คอยขัดคอ โดยเฉพาะคุณหมอมุก (นางสาวรุจิรา งามพฤกษ์วานิชย์) ลูกสาวของคุณนายสมหวัง (นางสมหวัง งามพฤกษ์วานิชย์) เมื่อถึงเวลาเดินตรงไปร้านชานมไข่มุก

    กระผม/อาตมภาพก็ตะโกนห้ามว่า "คุณหมออย่าเข้าไป แถวนั้นอันตรายมาก..!" อีกฝ่ายหนึ่งก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ ตัดใจเดินออกมา จนกระผม/อาตมภาพต้องบอกว่า "คุณหมอรีบไปฝึกสมาธิ เพราะว่าถ้ากำลังสมาธิสูงขึ้น เราจะสามารถห้าม รัก โลภ โกรธ หลง ได้ดีกว่านี้ แต่ว่าการฝึกสมาธิระยะแรกต้องระวัง ถ้าหากว่าคลายอารมณ์ไม่เป็น จะกลายเป็นเก็บกด ถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง ตีเราพังลงไป ก็จะมาแบบฟ้าถล่มดินทลายเลย..!"

    พวกเราวิ่งตรงมาถึงเมืองอู่เวยก่อนเวลา เนื่องเพราะคุณโบตั๋นบอกว่า "น่าจะถึงประมาณเที่ยงครึ่ง หลวงพ่อสามารถฉันอาหารเลยเพลได้หรือไม่ ?" กระผม/อาตมภาพบอกว่า "ไม่ต้องกังวล เที่ยงครึ่งของประเทศจีนก็เพิ่งจะ ๑๑ โมงครึ่งของประเทศไทย" แต่ปรากฏว่าเราไปถึงแค่ ๑๑.๔๕ น.ของเมืองจีนเท่านั้น ก็เพิ่งจะ ๑๐.๔๕ น. ของเมืองไทยเท่านั้นเอง

    ร้านอาหารเป็นของโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งจัดเอาไว้ให้พวกเราโต๊ะเดียวนั่งรวมกันทุกคน จึงได้มีคุณณรงค์ (นายฑนดล ภูมิธเนศ) กับ น้องพอร์ช (เด็กชายเสฏฐ์ ชาครวิโรจน์)มานั่งประกบซ้ายขวา เพราะว่าเป็นผู้ชายสองคนในคณะ เมื่ออาหารอะไรมาถึง กระผม/อาตมภาพก็ตักก่อน แล้วคนอื่นถึงจะตักกันต่อไป

    แต่ว่ากับข้าวนั้นมาถึง ๑๐ อย่างด้วยกัน พวกเราจึงกินจนเหลือแล้วเหลืออีก ซึ่งบางคนก็บ่นว่าเราจะกินล้างกินผลาญแบบนี้ไม่ได้ แต่ลูกกิฟท์อธิบายว่า คนจีนนั้นกินอาหารมากกว่าเราหลายเท่า พอไปซื้ออาหารที่เมืองไทยก็มักจะบ่นว่า "ทำไมถึงให้น้อยนัก ?" ส่วนของเราพอมาซื้ออาหารที่เมืองจีนก็จะตกใจว่า "ทำไมเขาถึงให้มากนัก ?" ในเมื่อเขาจัดมาในลักษณะที่ให้คน ๑๓ คนแบ่งกันกิน เขาก็มาเต็มที่แบบคนจีนกิน แต่ถ้าเป็นคนไทยน่าจะเพิ่มคนได้อีกสัก ๓ เท่า ในเมื่อเหลือก็ต้องปล่อยให้เหลือไป..!

    ครั้นพวกเราจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยก็กลับขึ้นรถ ตอนนี้ต้องขึ้นทางด่วน โดยบังคับให้รัดเข็มขัดทุกคน เนื่องเพราะว่าถ้าตำรวจตรวจเจอว่ารถที่ขึ้นทางด่วน ซึ่งอนุญาตให้วิ่งได้ ๑๐๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าไม่รัดเข็มขัดก็จะโดนปรับหนักมาก แล้วดีไม่ดีก็บันทึกประวัตินักท่องเที่ยวผู้นั้นเอาไว้ ถึงเวลาถ้าเข้าประเทศใหม่ อาจจะโดนปฏิเสธ โดยที่ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไปว่าตนเองโดนปฏิเสธเพราะอะไร..?!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,253
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,780
    ค่าพลัง:
    +26,645
    พวกเราวิ่งมาลงทางด่วนที่เมืองจางเยว่ ตรงไปที่วัดจางเยว่ต้าฝอ ซึ่งเป็นวัดโบร่ำโบราณสร้างมา ๙๘๒ ปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ชิง ก็มีพระมหากษัตริย์เสด็จมาทะนุบำรุงวัดนี้ เป็นวัดที่มีหลวงพ่อพระพุทธไสยาสน์ในร่มองค์ใหญ่ที่สุด ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะว่าไปพบพระพุทธพระพุทธไสยาสน์ที่ใหญ่กว่านี้ หรือว่าใหญ่ขนาดนี้มาแล้ว และก็อยู่ในร่มด้วยเช่นกัน

    เพียงแต่ว่าคุณโบตั๋นบอกว่าห้ามถ่ายรูป แต่นักท่องเที่ยวทุกคนก็ถ่ายกันหน้าตาเฉย จนกระทั่งวนรอบตัววิหารใหญ่แล้ว ก็ออกมายังวิหารรองและพระเจดีย์ ตลอดจนกระทั่งร้านขายของที่ระลึก พวกเราได้ชมกระทั่งพิพิธภัณฑ์ของทางวัด ซึ่งเก็บของเก่าเอาไว้มากมาย แล้วก็ไม่หวง มีปัญญาถ่ายรูปได้ก็ถ่ายไป..!

    จนกระทั่งทุกคนไร้แรงบินกันดีแล้ว ก็เข้าห้องน้ำของทางวัด แล้วกลับขึ้นรถ วิ่งไปไม่กี่นาทีก็มายังถนนคนเดินเมืองจางเยว่ ซึ่งเป็นถนนคนเดินโบร่ำโบราณที่บริเวณประตูเมืองเก่า ปล่อยให้พวกเราลงไปใช้เวลาช็อปปิ้ง ๑ ชั่วโมง โดยที่กระผม/อาตมภาพบอกว่าต้องตรงเวลาด้วย เพราะว่าวันนี้ กระผม/อาตมภาพจะต้องเรียนวิชาพระไตรปิฎกศึกษาเพิ่มเติมออนไลน์อีก ๓ ชั่วโมง พวกเราจึงกลับมากันตรงเวลามาก แล้วก็มุ่งตรงไปยังโรงแรมที่พักของคืนนี้

    พวกเราเมื่อมาถึงแล้ว กระผม/อาตมภาพก็งงเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าห้องพักของตนอยู่ชั้น ๖ แต่กดลิฟท์แล้วปรากฏว่ามาอยู่ชั้น ๘ คุณดาหวัน (นางสาวเพชรดาวัลย์ พัสลุผล) กับคุณพอร์ชลูกชายก็งง ๆ อยู่เหมือนกัน ท้ายที่สุด พวกเราก็ลองเอาคีย์การ์ดไปแปะประตูดูก่อน ปรากฏว่าเปิดได้เสียอีก..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงฟันธงว่าเจ้าของโรงแรมน่าจะ "บ้าเลขมงคล" ก็คือเลข ๘ จึงได้เอาเลข ๘ มาไว้หน้าห้องของชั้น ๖ ทุกห้อง..!

    เมื่อเข้าห้องมาได้แล้ว รู้สึกว่า "รับประทานแห้ว" แน่นอน เนื่องเพราะว่าวันนี้ไม่มีอ่างแช่น้ำร้อนให้ จึงมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้เอาไว้ก่อน เมื่อส่งเรียบร้อยแล้วก็ต้องเข้าระบบ Zoom Meeting Online เพื่อศึกษาวิชาพระไตรปิฎกศึกษากันต่อไป

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...